โรงพิมพ์ของอนาอิส
นิน
จาก The Story of My Printing Press From the
Publish-It-Yourself Handbook, Pushart, 1973.
ในปีค.ศ. 1940 หนังสือสองเล่มของฉันคือ Winter of
Artifice และ Under a Grass Bell
ได้รับการปฏิเสธจากผู้พิมพ์ชาวอเมริกัน
เรื่อง Winter of Artifice เคยได้รับการตีพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ และได้รัลคำชมเชยจากรีเบคก้า เวสต์, เฮนรี่
มิลเลอร์, ลอเรนซ์ ดูเรลล์, เคย์ บอยเล
และสจ๊วต กิลเบิร์ต
หนังสือทั้งสองเล่มได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนังสือที่ไม่เกี่ยวข้องกับแง่ของการค้า ฉันต้องการให้บรรดานักเขียนได้รู้ว่าพวกเขายืนอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งสัมพันธ์กับคำตัดสินจากบรรดาผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการค้า
และการเสนอทางแก้ปัญหาที่ยังคงมีผลในทุกวันนี้ ฉัยกำลังคิดถึงเรื่องของบรรดานักเขียนผู้ซึ่งเป็นเสมือนนักวิจัยในวงการวิทยาศาสตร์ ผู้เป็นเจ้าของคำอุธรณ์ที่ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อย่างทันทีทันใด
ฉันไม่เคยยอมรับคำตัดสินนั้นและตัดสินใจจะพิมพ์หนังสือของฉันเอง
ฉันใช้เงินไปเจ็บสิบห้าดอลลาร์ในการซื้อเครื่องพิม์มือสองมาเครื่องหนึ่ง มันทำงานโดยใช้แรงเท้าเหยียบเหมือนจักรเย็บผ้าแบบโบราณ และคนทำจะต้องกดน้ำหนักลงไปบนคานอย่างหนักเพื่อให้มีกำลังในการหมุนลูกล้อ
ฟรานเซส สเตลอฟ
ผู้เป็นเจ้าของร้านขายหนังสือกอดแฮมที่นิวยอร์กให้ฉันยืมเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์ในการเสี่ยงครั้งนี้ และธูเรมา โซโกล
ให้ฉันยืมเงินอีกหนึ่งร้อยดอลลาร์
ฉันซื้อเครื่องพิมพ์เป็นเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์ และใช้ลังส้มเป็นชั้นวางของ และซื้อกระดาษที่เหลือทิ้งมา
เป็นกระดาษที่เหมือนกับการซื้อผ้าที่เหลือมาตัดเสื้อผ้า
กระดาษบางส่วนก็ค่อนข้างดีเพราะเป็นกระดาษที่เหลือจากการพิมพ์ชั้นเยี่ยม เพื่อคนหนึ่งของฉันชื่อ กอนซาโล
มอร์ได้ให้ความช่วยเหลือฉันในการออกแบบหนังสือ
ซึ่งเป็นงานที่เขามีพรสวรรค์มาก
ฉันเรียนรู้ในการตั้งเครื่องพิมพ์และเขาเป็นผู้เดินเครื่อง เราซึกษาเรื่องเหล่านี้จากหนังสือหลายเล่มในห้องสมุด
ซึ่งก่ให้เกิดอุบัติเหตุที่น่าขันหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น
หนังสือบอกว่า “ให้ใส่น้ำมันที่ลูกกลิ้ง” ดังนั้น
เราจึงใส่น้ำมันลงไปที่ลูกกลิ้งรวมถึงส่วนที่เป็นยางด้วย
แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมเราจึงพิมพ์งานไม่ได้เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ
เจมส์
คูนีย์จากนิตยสารฟินิกส์เป็นคนให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่พวกเราในเรื่องเทคนิคของการพิมพ์ การขาดความรู้ในด้านการพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษของเรายังทำให้เกิดข้อผิดพลาดอีกหลายประการ
เช่น
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับการใช้คำแยกกันของฉันในหนังสือเรื่อง Winter of Artifice เช่นคำว่า “lo-ve”
แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการจัดวางหนังสือแต่ละตัวด้วยมือได้สอนให้ฉันรู้จักหลักการทางเศรษฐศาสตร์
หลังจากอยู่กับหน้ากระดาษแผ่นเดียวมาหนึ่งวันเต็มๆ ฉันสามารถตรวจพบถ้อยคำเกินจำเป็นมากมาย ในตอนสิ้นสุดของแต่ละบรรทัดฉันมักคิดว่านี่คือคำ นี่คือวลีที่จำเป็นหรือเปล่านะ?
มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัส
เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนในการตั้งตัวพิมพ์, ในการล็อกถาด,
ในการแบกถาดตะกั่วที่หนักอึ้งไปยังเครื่องจักร,
ในการหมุนเครื่องด้วยตัวเองที่ต้องเติมหมึกด้วยมือ,
ในการตั้งแม่พิมพ์ทองแดง(สำหรับบรรดาภาพประกอบทั้งหลายบนไม้หนาหนึ่งนิ้วเพื่อจะพิมพ์มัน การพิมพ์แม่พิมพ์ทองแดงหมายถึงการเติมหมึกแต่ละแม่พิมพ์แยกกัน ทำความสะอาดมันหลังจากการพิมพ์ไปแล้วหนึ่งครั้ง และเริ่มขบวนการนี้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง) มันใช้เวลาหลายเดือนในการพิมพ์เรื่อง Winter
of Artifice และ Under a Grass Bell
แล้วยังมีการจัดเรียงหน้ากระดาษที่ตีพิมพ์แล้ว แล้วก็เก็บตัวพิมพ์ไว้ในกล่อง
เราพบปัญหาหลายประการในการหาคนเย็บเล่มที่เต็มใจจะรับงานของโรงพิมพ์เล็กๆ และยอมรับรูปแบบที่ไม่เหมือนหนังสือทั่วๆไป
ฟรานเซส
สเตลอฟตกลงที่จะวางจำหน่ายหนังสือและอนุญาตให้ฉันจัดงานปาร์ตี้เปิดตัวหนังสือที่ร้านขายหนังสือกอดแฮม หนังสือเหล่านั้นเสณ้จสมบูรณ์และสวยงาม และกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมในทุกวันนี้
การพิมพ์เรื่อง Winter of Artifice ครั้งแรกตีพิมพ์ทั้งหมดสามร้อยเล่ม
และผู้พิพม์คนหนึ่งที่ฉันพบในงานปาร์ตี้ได้อุทานขึ้นมาว่า
“ผมไม่รูแฮะว่าคุณจะจัดการทำให้คุฯมีชื่อเสียงได้อย่างไร กับหนังสือเพียงสามร้อยเล่มนี้”
ฟรานเซส สเตลอฟได้นำหนังสือเรื่อง Under a Grass Bell ไปให้เอ็ดมันด์
วิลสัน เขาปริทัศน์หนังสือเล่มนี้อย่างชื่นชอบในนิตยสารนิวยอร์กเกอร์
และทันทีนั้นเองผู้พิมพ์ทั้งหมดต่างก็พร้อมจะตีพิมพ์หนังสือทั้งสองเล่มอีกครั้งในรูปแบบของการพิมพ์ที่เป็นการค้า
เราไม่ได้ใช้คำว่า “ใต้ดิน”
แต่โรงพิมพ์กระจ้อยร่อย
และถ้อยคำจากปากสู่ปาก
สามารถทำให้งานเขียนของฉันถูกค้นพบ
อุปสรรคเพียงอย่างเดียวก็คือ
บรรดาหนังสือพิมพ์และนิตยสารทั้งหลายที่ไม่ใส่ใจหนังสือพิมพ์จากโรงพิมพ์เล็กๆ
และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการปริทัศน์หนังสือเหล่านี้ แต่การปริทัศน์ของเอดมันด์ วิลสัน
เป็นข้อยกเว้นประการหนึ่ง
มันเป็นการเปิดตัวฉันสู่ตลาด
ฉันเป็นหนี้เขาในเรื่องนั้น
และเสียใจอยู่แต่ว่าการยอมรับของเขาไม่ได้ขยายต่อถึงงานที่เหลือของฉัน
ฉันต้องตีพิมพ์หนังสือเหล่านั้นอีกครั้งโดยยืมเงินจากทนายความชื่อ
แซมมวล โกลด์เบิร์ก
มีบางคนคิดว่าฉันน่าจะส่งเรื่องเกี่ยวกับโรงพิมพ์ของฉันไปที่ Reader’s
Digest Digest โต้ตอบมาว่าถ้าฉันต้องตีพิมพ์หนังสือเหล่านั้นด้วยตัวของฉันเอง มันต้องออกมาเลวแน่ๆ ผู้คนอีกหลายคนยังคงเชื่อว่า
มีความเคลือบแคลงอย่างหนึ่งว่าความยุ่งยากและอุปสรรคต่างๆในการพิมพ์ของฉัน บ่งชี้ถึงคุณภาพที่น่าสงสัยในงานของฉัน หนึ่งปีก่อนการตีพิมพ์ไดอารี่ คนหนึ่งได้เขียนลงในฮาร์วาร์ดแอดโวเคต ว่า
การไม่มีคำวิจารณ์ และความไม่สนใจไยดีของบรรดาผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าบ่งบอกว่างานนั้นมีข้อบกพร่อง
การตีพิมพ์ Winter of Artifice จำนวนสามร้อยเล่มเสียค่าใช้จ่ายในการพิมพ์และเย็บเล่มทั้งหมดสี่ร้อยดอลลาร์ หนังสือขายราคาเล่มละสามดอลลาร์ ฉันตีพิมพ์แผ่นโฆษณา และส่งเวียนไปยังบรรดาเพื่อนๆ
และคนที่รู้จักมักคุ้น
ปรากฏว่าหนังสือทั้งสองเล่มขายได้หมดเกลี้ยง
แต่แรงงานที่สูญเสียไปในการทำงานทำเอาฉันหมดสิ้นเรี่ยวแรงและมันยังไปขัดขวางงานเขียนของฉันด้วย
นี่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันต้องยอมรับข้อเสนอในการตีพิมพ์ของผู้พิมพ์ทางการค้ารายหนึ่ง และละทิ้งการพิมพ์ไป ไม่เช่นนั้นฉันคงจะทำงานพิมพ์ของฉันต่อไป
ด้วยการควบคุมทั้งสิ่งที่บรรจุอยู่ในหนังสือและการออกแบบของหนังสือด้วย
ฉันรู้สึกเสียใจที่เลิกโรงพิมพ์ไป
เพราะด้วยการพิมพ์ของผู้พิมพ์ทางการค้าทำให้ปัญหาต่างๆของฉันเริ่มเกิดขึ้น ในตอนนั้นเหมือนกับทุกวันนี้ พวกเขาต้องการผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่และรวดเร็ว
การเสี่ยงโชคสำหรับผลตอบแทนที่รวดเร็วไม่มีอะไรจะไปทำได้เพราะต้องอาศัยความต้องการของสาธารณชนซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งและการเลือกหนังสือซักเล่มหนึ่งของผู้พิมพ์ก็ไม่สามารถจะนำมาพิจารณาได้ในฐานะที่เป็นตัวแทนเสียงของประชาชน แรงกระตุ้นเริ่มขึ้นด้วยความเชื่อขงผู้พิมพ์
ผู้มีเบื้องหลังการเลือกคือการโฆษณาจองปลอมในฐานะที่เป็นผู้ตัดสินเกี่ยวกับวรรณกรรม ดังนั้นหนังสือทั้งหลายที่ถูกยัดเยียดให้สาธารณชนจึงเหมือนกับผลิตผลทางการค้าชิ้นอื่นๆ
ในกรณีของฉันทัศนะที่ขาดเหตุผลของผู้พิมพ์กระจ่างชัดยิ่งนัก
พวกเขารับงานของฉันในฐานะนักเขียนที่มีเกียรติคนหนึ่ง
แต่นักเขียนที่มีเกียรติคนหนึ่งไม่สามารถตีราคาโฆษณาได้ และดังนั้นหนังสือจึงขายได้พอประมาณ การพิมพ์เรื่อง Ledders to Fire จำนวนห้าพันเล่มของผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องทางการค้าจึงไม่พอเพียง
คุณภาพทั่วไปในการเขียนที่ดี
ที่ผู้พิมพ์เรียกร้องที่จะให้ยอมรับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้
ถึงกระนั้นก็ตามหนังสือทั้งหลายของฉันที่ไม่ถือว่ามีคุณภาพทั่วไปนี้ก็มีคนหลากหลายประเภทซื้อหามาอ่านกันโดยถ้วนหน้า
ทุกวันนี้แทนที่ฉันจะรู้สึกขมขื่นเพราะผู้พิมพ์มีความเห็นไม่ตรงกัน
ฉันกลับมีความสุขที่พวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฉัน
เพราะสำนักพิมพ์ทำให้ฉันมีอิสระและมีความเชื่อมั่น ฉันรู้สึกได้ติดต่อกับสาธารณชนโดยตรง
และมันก็เพียงพอแล้วที่จะประคับประคองตัวฉันผ่านพ้นปีต่อๆ มาได้
ในระยะต้นของการทำธุรกิจกับผู้จัดพิมพ์ในทางการค้าจบสิ้นลงด้วยความหายนะ พวกเขาไม่พอใจกับยอดการขาย ผู้พิมพ์และร้านขายหนังสือไม่เคยสนใจการขายระยะยาว แต่โชคดีที่ฉันได้รู้จักกับอแลน
สวอนโลว์ที่เดนเวอร์ โคโลราโด
เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่พิมพ์ด้วยตัวเอง
เป็นอิสระ
ผู้เริ่มการพิมพ์ของเขาในโรงรถ
เขาต้อนรับสิ่งที่เขาเรียกว่า “นักเขียนอิสระ”( maverick writers) เขารวบรวมหนังสือทั้งหมดของฉันตีพิมพ์ เขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย
และอุปสรรคทั้งหลายที่เป็นเรื่องปกติของพวกเราได้ก่อให้เกิดสัญญาผูกมัดที่แข็งแรง เขาประสบปัญหาต่างๆ
เหมือนเดิมได้แก่ปัญหาในการวางจำหน่าย
และปัญหาในการปริทัศน์หนังสืออย่างที่ฉันเองก็รู้ดี และเราก็ช่วยเหลือกันและกัน
เขามีชีวิตอยู่นานพอที่จะได้เห็นฉันเริ่มต้นมีชื่อเสียง ได้เห็นความสำเร็จจากไดอารี่ทั้งหลาย ได้เห็นหนังสือต่างๆ
ที่เขาช่วยชีวิตพวกมันไว้ใช้ประกอบการสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ฉันเขียนเรื่องของเขาในไดอารี่เล่มที่หก
สิ่งที่เรื่องนี้ชี้แนะก็คือผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องทางการค้าทั้งหลายที่กำลังร่วมมือกันดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่น่าจะประคับประคองบรรดานักเขียนแนวทดลองและแนวค้นคว้า เหมือนกับธุรกิจที่ช่วยค้ำจุนนักวิจัยโดยไม่คาดหวังสิ่งที่ใหญ่โต
หรือผลกำไรอย่างทันทีทันใดจากพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาได้ประกาศทัศนคติ, จิตสำนึก
และวิวัฒนาการใหม่ๆ
ในรสนิยมและจิตใจของผู้คน
พวกเขาเป็นนักวิจัยผู้ค้ำจุนอุตสาหกรรม
ทุกวันนี้งานของฉันได้สอดประสานกลมกลืนกับค่านิยมใหม่ๆ การค้นหาแบบใหม่ และสถานภาพทางจิตใจของพวกหนุ่มสาว
การทำให้เข้ากันได้นี้คือสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า นอกจากด้วยวิธีเปิดใจออกรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
และการริเริ่ม
บทความวรรณกรรมจากนิตยสาร “ไรเตอร์”
ปีที่ 3 ฉบับที่ 31
(ไม่ทราบผู้แปล)