วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โรงพิมพ์ของอนาอิส นิน
จาก The Story of My Printing Press From the Publish-It-Yourself Handbook, Pushart, 1973.

ในปีค.ศ. 1940 หนังสือสองเล่มของฉันคือ Winter of Artifice และ Under a Grass Bell  ได้รับการปฏิเสธจากผู้พิมพ์ชาวอเมริกัน  เรื่อง Winter of Artifice เคยได้รับการตีพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ  และได้รัลคำชมเชยจากรีเบคก้า เวสต์, เฮนรี่ มิลเลอร์,  ลอเรนซ์ ดูเรลล์, เคย์ บอยเล และสจ๊วต กิลเบิร์ต  หนังสือทั้งสองเล่มได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนังสือที่ไม่เกี่ยวข้องกับแง่ของการค้า  ฉันต้องการให้บรรดานักเขียนได้รู้ว่าพวกเขายืนอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งสัมพันธ์กับคำตัดสินจากบรรดาผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการค้า  และการเสนอทางแก้ปัญหาที่ยังคงมีผลในทุกวันนี้  ฉัยกำลังคิดถึงเรื่องของบรรดานักเขียนผู้ซึ่งเป็นเสมือนนักวิจัยในวงการวิทยาศาสตร์  ผู้เป็นเจ้าของคำอุธรณ์ที่ไม่เคยได้รับผลประโยชน์อย่างทันทีทันใด
ฉันไม่เคยยอมรับคำตัดสินนั้นและตัดสินใจจะพิมพ์หนังสือของฉันเอง  ฉันใช้เงินไปเจ็บสิบห้าดอลลาร์ในการซื้อเครื่องพิม์มือสองมาเครื่องหนึ่ง  มันทำงานโดยใช้แรงเท้าเหยียบเหมือนจักรเย็บผ้าแบบโบราณ  และคนทำจะต้องกดน้ำหนักลงไปบนคานอย่างหนักเพื่อให้มีกำลังในการหมุนลูกล้อ 
ฟรานเซส สเตลอฟ ผู้เป็นเจ้าของร้านขายหนังสือกอดแฮมที่นิวยอร์กให้ฉันยืมเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์ในการเสี่ยงครั้งนี้  และธูเรมา โซโกล ให้ฉันยืมเงินอีกหนึ่งร้อยดอลลาร์   ฉันซื้อเครื่องพิมพ์เป็นเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์  และใช้ลังส้มเป็นชั้นวางของ  และซื้อกระดาษที่เหลือทิ้งมา  เป็นกระดาษที่เหมือนกับการซื้อผ้าที่เหลือมาตัดเสื้อผ้า  กระดาษบางส่วนก็ค่อนข้างดีเพราะเป็นกระดาษที่เหลือจากการพิมพ์ชั้นเยี่ยม   เพื่อคนหนึ่งของฉันชื่อ กอนซาโล มอร์ได้ให้ความช่วยเหลือฉันในการออกแบบหนังสือ  ซึ่งเป็นงานที่เขามีพรสวรรค์มาก  ฉันเรียนรู้ในการตั้งเครื่องพิมพ์และเขาเป็นผู้เดินเครื่อง  เราซึกษาเรื่องเหล่านี้จากหนังสือหลายเล่มในห้องสมุด  ซึ่งก่ให้เกิดอุบัติเหตุที่น่าขันหลายเรื่อง  ตัวอย่างเช่น  หนังสือบอกว่า  “ให้ใส่น้ำมันที่ลูกกลิ้ง”  ดังนั้น  เราจึงใส่น้ำมันลงไปที่ลูกกลิ้งรวมถึงส่วนที่เป็นยางด้วย  แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมเราจึงพิมพ์งานไม่ได้เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ
 เจมส์ คูนีย์จากนิตยสารฟินิกส์เป็นคนให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่พวกเราในเรื่องเทคนิคของการพิมพ์  การขาดความรู้ในด้านการพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษของเรายังทำให้เกิดข้อผิดพลาดอีกหลายประการ เช่น  ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับการใช้คำแยกกันของฉันในหนังสือเรื่อง  Winter of Artifice  เช่นคำว่า “lo-ve”  แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการจัดวางหนังสือแต่ละตัวด้วยมือได้สอนให้ฉันรู้จักหลักการทางเศรษฐศาสตร์  หลังจากอยู่กับหน้ากระดาษแผ่นเดียวมาหนึ่งวันเต็มๆ  ฉันสามารถตรวจพบถ้อยคำเกินจำเป็นมากมาย  ในตอนสิ้นสุดของแต่ละบรรทัดฉันมักคิดว่านี่คือคำ  นี่คือวลีที่จำเป็นหรือเปล่านะ?
มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัส  เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนในการตั้งตัวพิมพ์,  ในการล็อกถาด, ในการแบกถาดตะกั่วที่หนักอึ้งไปยังเครื่องจักร, ในการหมุนเครื่องด้วยตัวเองที่ต้องเติมหมึกด้วยมือ,  ในการตั้งแม่พิมพ์ทองแดง(สำหรับบรรดาภาพประกอบทั้งหลายบนไม้หนาหนึ่งนิ้วเพื่อจะพิมพ์มัน  การพิมพ์แม่พิมพ์ทองแดงหมายถึงการเติมหมึกแต่ละแม่พิมพ์แยกกัน  ทำความสะอาดมันหลังจากการพิมพ์ไปแล้วหนึ่งครั้ง  และเริ่มขบวนการนี้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง)  มันใช้เวลาหลายเดือนในการพิมพ์เรื่อง Winter of Artifice และ Under a Grass Bell  แล้วยังมีการจัดเรียงหน้ากระดาษที่ตีพิมพ์แล้ว  แล้วก็เก็บตัวพิมพ์ไว้ในกล่อง
เราพบปัญหาหลายประการในการหาคนเย็บเล่มที่เต็มใจจะรับงานของโรงพิมพ์เล็กๆ  และยอมรับรูปแบบที่ไม่เหมือนหนังสือทั่วๆไป
ฟรานเซส สเตลอฟตกลงที่จะวางจำหน่ายหนังสือและอนุญาตให้ฉันจัดงานปาร์ตี้เปิดตัวหนังสือที่ร้านขายหนังสือกอดแฮม  หนังสือเหล่านั้นเสณ้จสมบูรณ์และสวยงาม  และกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมในทุกวันนี้
การพิมพ์เรื่อง Winter of Artifice ครั้งแรกตีพิมพ์ทั้งหมดสามร้อยเล่ม  และผู้พิพม์คนหนึ่งที่ฉันพบในงานปาร์ตี้ได้อุทานขึ้นมาว่า “ผมไม่รูแฮะว่าคุณจะจัดการทำให้คุฯมีชื่อเสียงได้อย่างไร  กับหนังสือเพียงสามร้อยเล่มนี้”
ฟรานเซส สเตลอฟได้นำหนังสือเรื่อง Under a Grass Bell ไปให้เอ็ดมันด์ วิลสัน เขาปริทัศน์หนังสือเล่มนี้อย่างชื่นชอบในนิตยสารนิวยอร์กเกอร์  และทันทีนั้นเองผู้พิมพ์ทั้งหมดต่างก็พร้อมจะตีพิมพ์หนังสือทั้งสองเล่มอีกครั้งในรูปแบบของการพิมพ์ที่เป็นการค้า
เราไม่ได้ใช้คำว่า “ใต้ดิน”  แต่โรงพิมพ์กระจ้อยร่อย  และถ้อยคำจากปากสู่ปาก  สามารถทำให้งานเขียนของฉันถูกค้นพบ  อุปสรรคเพียงอย่างเดียวก็คือ  บรรดาหนังสือพิมพ์และนิตยสารทั้งหลายที่ไม่ใส่ใจหนังสือพิมพ์จากโรงพิมพ์เล็กๆ  และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการปริทัศน์หนังสือเหล่านี้  แต่การปริทัศน์ของเอดมันด์ วิลสัน เป็นข้อยกเว้นประการหนึ่ง  มันเป็นการเปิดตัวฉันสู่ตลาด  ฉันเป็นหนี้เขาในเรื่องนั้น  และเสียใจอยู่แต่ว่าการยอมรับของเขาไม่ได้ขยายต่อถึงงานที่เหลือของฉัน
ฉันต้องตีพิมพ์หนังสือเหล่านั้นอีกครั้งโดยยืมเงินจากทนายความชื่อ แซมมวล โกลด์เบิร์ก
มีบางคนคิดว่าฉันน่าจะส่งเรื่องเกี่ยวกับโรงพิมพ์ของฉันไปที่ Reader’s Digest  Digest  โต้ตอบมาว่าถ้าฉันต้องตีพิมพ์หนังสือเหล่านั้นด้วยตัวของฉันเอง  มันต้องออกมาเลวแน่ๆ  ผู้คนอีกหลายคนยังคงเชื่อว่า  มีความเคลือบแคลงอย่างหนึ่งว่าความยุ่งยากและอุปสรรคต่างๆในการพิมพ์ของฉัน  บ่งชี้ถึงคุณภาพที่น่าสงสัยในงานของฉัน  หนึ่งปีก่อนการตีพิมพ์ไดอารี่  คนหนึ่งได้เขียนลงในฮาร์วาร์ดแอดโวเคต ว่า การไม่มีคำวิจารณ์ และความไม่สนใจไยดีของบรรดาผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าบ่งบอกว่างานนั้นมีข้อบกพร่อง
การตีพิมพ์ Winter of Artifice  จำนวนสามร้อยเล่มเสียค่าใช้จ่ายในการพิมพ์และเย็บเล่มทั้งหมดสี่ร้อยดอลลาร์  หนังสือขายราคาเล่มละสามดอลลาร์  ฉันตีพิมพ์แผ่นโฆษณา  และส่งเวียนไปยังบรรดาเพื่อนๆ และคนที่รู้จักมักคุ้น   ปรากฏว่าหนังสือทั้งสองเล่มขายได้หมดเกลี้ยง
แต่แรงงานที่สูญเสียไปในการทำงานทำเอาฉันหมดสิ้นเรี่ยวแรงและมันยังไปขัดขวางงานเขียนของฉันด้วย  นี่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันต้องยอมรับข้อเสนอในการตีพิมพ์ของผู้พิมพ์ทางการค้ารายหนึ่ง  และละทิ้งการพิมพ์ไป  ไม่เช่นนั้นฉันคงจะทำงานพิมพ์ของฉันต่อไป  ด้วยการควบคุมทั้งสิ่งที่บรรจุอยู่ในหนังสือและการออกแบบของหนังสือด้วย
ฉันรู้สึกเสียใจที่เลิกโรงพิมพ์ไป  เพราะด้วยการพิมพ์ของผู้พิมพ์ทางการค้าทำให้ปัญหาต่างๆของฉันเริ่มเกิดขึ้น  ในตอนนั้นเหมือนกับทุกวันนี้  พวกเขาต้องการผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่และรวดเร็ว  การเสี่ยงโชคสำหรับผลตอบแทนที่รวดเร็วไม่มีอะไรจะไปทำได้เพราะต้องอาศัยความต้องการของสาธารณชนซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งและการเลือกหนังสือซักเล่มหนึ่งของผู้พิมพ์ก็ไม่สามารถจะนำมาพิจารณาได้ในฐานะที่เป็นตัวแทนเสียงของประชาชน  แรงกระตุ้นเริ่มขึ้นด้วยความเชื่อขงผู้พิมพ์  ผู้มีเบื้องหลังการเลือกคือการโฆษณาจองปลอมในฐานะที่เป็นผู้ตัดสินเกี่ยวกับวรรณกรรม  ดังนั้นหนังสือทั้งหลายที่ถูกยัดเยียดให้สาธารณชนจึงเหมือนกับผลิตผลทางการค้าชิ้นอื่นๆ ในกรณีของฉันทัศนะที่ขาดเหตุผลของผู้พิมพ์กระจ่างชัดยิ่งนัก  พวกเขารับงานของฉันในฐานะนักเขียนที่มีเกียรติคนหนึ่ง  แต่นักเขียนที่มีเกียรติคนหนึ่งไม่สามารถตีราคาโฆษณาได้  และดังนั้นหนังสือจึงขายได้พอประมาณ  การพิมพ์เรื่อง Ledders to Fire จำนวนห้าพันเล่มของผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องทางการค้าจึงไม่พอเพียง
คุณภาพทั่วไปในการเขียนที่ดี  ที่ผู้พิมพ์เรียกร้องที่จะให้ยอมรับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้  ถึงกระนั้นก็ตามหนังสือทั้งหลายของฉันที่ไม่ถือว่ามีคุณภาพทั่วไปนี้ก็มีคนหลากหลายประเภทซื้อหามาอ่านกันโดยถ้วนหน้า
ทุกวันนี้แทนที่ฉันจะรู้สึกขมขื่นเพราะผู้พิมพ์มีความเห็นไม่ตรงกัน  ฉันกลับมีความสุขที่พวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฉัน  เพราะสำนักพิมพ์ทำให้ฉันมีอิสระและมีความเชื่อมั่น  ฉันรู้สึกได้ติดต่อกับสาธารณชนโดยตรง  และมันก็เพียงพอแล้วที่จะประคับประคองตัวฉันผ่านพ้นปีต่อๆ มาได้  ในระยะต้นของการทำธุรกิจกับผู้จัดพิมพ์ในทางการค้าจบสิ้นลงด้วยความหายนะ  พวกเขาไม่พอใจกับยอดการขาย  ผู้พิมพ์และร้านขายหนังสือไม่เคยสนใจการขายระยะยาว  แต่โชคดีที่ฉันได้รู้จักกับอแลน สวอนโลว์ที่เดนเวอร์ โคโลราโด  เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่พิมพ์ด้วยตัวเอง  เป็นอิสระ  ผู้เริ่มการพิมพ์ของเขาในโรงรถ  เขาต้อนรับสิ่งที่เขาเรียกว่า “นักเขียนอิสระ”( maverick writers)  เขารวบรวมหนังสือทั้งหมดของฉันตีพิมพ์  เขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย  และอุปสรรคทั้งหลายที่เป็นเรื่องปกติของพวกเราได้ก่อให้เกิดสัญญาผูกมัดที่แข็งแรง  เขาประสบปัญหาต่างๆ เหมือนเดิมได้แก่ปัญหาในการวางจำหน่าย  และปัญหาในการปริทัศน์หนังสืออย่างที่ฉันเองก็รู้ดี  และเราก็ช่วยเหลือกันและกัน  เขามีชีวิตอยู่นานพอที่จะได้เห็นฉันเริ่มต้นมีชื่อเสียง  ได้เห็นความสำเร็จจากไดอารี่ทั้งหลาย  ได้เห็นหนังสือต่างๆ ที่เขาช่วยชีวิตพวกมันไว้ใช้ประกอบการสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ  ฉันเขียนเรื่องของเขาในไดอารี่เล่มที่หก
สิ่งที่เรื่องนี้ชี้แนะก็คือผู้พิมพ์ที่เกี่ยวข้องทางการค้าทั้งหลายที่กำลังร่วมมือกันดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่น่าจะประคับประคองบรรดานักเขียนแนวทดลองและแนวค้นคว้า  เหมือนกับธุรกิจที่ช่วยค้ำจุนนักวิจัยโดยไม่คาดหวังสิ่งที่ใหญ่โต  หรือผลกำไรอย่างทันทีทันใดจากพวกเขาเหล่านั้น  พวกเขาได้ประกาศทัศนคติ, จิตสำนึก และวิวัฒนาการใหม่ๆ  ในรสนิยมและจิตใจของผู้คน  พวกเขาเป็นนักวิจัยผู้ค้ำจุนอุตสาหกรรม  ทุกวันนี้งานของฉันได้สอดประสานกลมกลืนกับค่านิยมใหม่ๆ  การค้นหาแบบใหม่  และสถานภาพทางจิตใจของพวกหนุ่มสาว  การทำให้เข้ากันได้นี้คือสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า  นอกจากด้วยวิธีเปิดใจออกรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และการริเริ่ม





บทความวรรณกรรมจากนิตยสาร “ไรเตอร์”  ปีที่ 3 ฉบับที่ 31
(ไม่ทราบผู้แปล)