วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จากหนังสือรวมเรื่องสั้น “ข้าวแค้น” ของ
วัฒน์ วรรลยางกูร
ฉบับตีพิมพ์เมื่อ พฤษภาคม ๒๕๒๒ โดย กลุ่มกุลา

คำนำ
            ในปี ๒๕๑๙ บรรณโลกของกรุงเทพมหานครได้มีโอกาสจัดพิมพ์ “ตำบลช่อมะกอก” ของวัฒน์ วรรยางค์กูร  นิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้เขียนนามนี้  ได้เป็นที่สนใจและได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านอย่างกว้างขวางและคึกคักอย่างยิ่ง  แม้ว่า  ในคำปรารภของผู้เขียนเองได้กล่าวไว้ว่า  งานเขียนขนาดยาวนี้เป็นเรื่องแรกและยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องก็ตาม  แต่ในทัศนะของผู้เขียนรุ่นก่อนๆ ก็ได้ให้ความสนใจและเอ็นดูต่อนักเขียนผู้เยาว์ผู้นี้อย่างมาก  วัฒน์ วรรยางค์กูร มีท่วงทำนองการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  คือการใช้ภาษาที่ง่ายๆ และก็ชวนติดตามอย่างเร่งเร้าเสมอ  รวมทั้งเสนอเรื่องราวที่สัมผัสแนบแน่นกับชีวิตการต่อสู้  และขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีของประชาชน
                อนาคตของวัฒน์ทางด้านวรรณกรรรมจะแล่นโลดไปไกลอีกมากทีเดียว  เสียดายอย่างยิ่งที่เขาได้เขียนเรื่องไว้ไม่มากนักในระยะ ๑-๒ ปีก่อนกรณีสังหารโหด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  สังคมอันอัปลักษณ์เช่นนี้  ไม่ได้เป็นเวทีชีวิตที่เขาสามารถร่ายหรือกลั่นกรองเอาความรู้สึกและข้อมูลออกมาเป็นวรรณกรรมอย่างสะดวกและยืนยาว  วัฒน์จึงได้ตัดสินใจละทิ้งเวทีนี้ไปสู่ผืนแผ่นดินไทยที่ไกลออกไป  และที่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่เขาในการจะรจนาวรรณกรรมเพื่อประชาชนต่อไป  แต่เขากลับได้รับความอบอุ่นและโอบอุ้มจากชีวิตความเป็นจริงที่ทุกข์ยากและเต็มไปด้วยภาพของการต่อสู้กับธรรมชาติและกับคนด้วยกันเองที่เหยียดหยามคุณค่าความเป็นคน  ดังนั้นเราจึงยังได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของเขาอีก
                เราได้รวบรวมงานเขียนของวัฒน์  ซึ่งปรากฏหลังจากที่เขาได้ตัดสินใจไปใช้ชีวิตอีกแห่งหนึ่ง  งานเขียนที่เราได้รวบรวมขึ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ  เป็นงานเขียนประเภทเรื่องสั้น ๑๑ เรื่อง  และการบันทึกเกี่ยวกับทัศนะของผู้เขียนในเรื่องการประพันธ์  เรื่องสั้นทั้ง ๑๑ เรื่องนี้  แต่ละเรื่องจะสะท้อนแง่มุมที่ต่างกันออกไปทุกเรื่องและชัดเจนในเนื้อหามากขึ้นกว่าแต่ก่อน  แต่ยังคงรัก(ษาเอกลักษณ์ของตนเองในการเสนอปัญหาและใช้ภาษาที่ง่ายๆ และเร้าใจผู้อ่านเช่นเดิม
                เราไม่มีอะไรจะกล่าวมากมายนัก  เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านลิ้มรสวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ดีเด่นของวัฒน์โดยเร็วที่สุด  แต่กระนั้น  งานวรรณกรรมก็ยังคงเป็นแนวรบด้านหนึ่งของการต่อสู้เพื่อสิ่งใหม่ที่งดงามกว่าและมีคุณค่ายิ่งกว่า   และแนวรบด้านนี้ก็ไดมีคนมาแบกรับมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นศรีบูรพา, บรรจง บรรเจิดศิลป์, อิศรา อมันตกุลหรือจิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ  และแนวรบนี้ก็ได้เสียดแทงตีความเจ็บปวดแก่ผู้ปกครองที่เอาเปรียบคนจนอย่างได้ผลมาแล้ว  วันนี้เราได้พบกับวัฒน์ วรรยางค์กูร นักเขียนหนุ่มที่มีความศรัทธาและความสามารถที่ดีเด่น  แต่เราก็ปรารถนาจะได้พบบุคคลเช่นวัฒน์อีกหลายๆ คน  จากผู้อ่านนี่แหละ  ท่านล่ะได้ตัดสินใจจะมาเข้าร่วมกับบันทึกประวัติศาสตร์บทใหม่แก่คนไทยแล้วหรือยัง?
                                                                                                                                                          ด้วยความคารวะจากเรา
                                                                                                                                                          กลุ่มกุลา

ภาคผนวก

 จากบันทึกของ “นักเขียนคนหนึ่ง”
หมายเหตุ : บันทึกชิ้นนี้ประกอบด้วยทัศนะของผู้เขียนในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานเขียน  นับตั้งแต่ปัญหาทำงานเพื่อใคร, การหาวัตถุดิบ, เข็มทิศชี้นำในการเขียน, ปัญหารูปแบบกับเนื้อหา, การเตรียมพร้อมในการทำงาน, การใช้ชีวิตของนักเขียน และปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับคนเขียน  อันเป็นทัศนะอีกแง่หนึ่งของคนเขียนหนังสือร่วมสมัยเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการค้นคว้าทางด้านวรรณกรรม

ปัญหาพื้นฐานคือทำงานเพื่อใคร

                นักทฤษฎีทางศิลปะวรรณคดีหลายคนสรุปไว้ว่าปัญหาสำคัญที่สุดของศิลปินนักเขียนคือ ปัญหาเพื่อใคร? ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง  และเห็นด้วยอย่างยิ่งต้อความเห็นที่ว่านักเขียนหรือศิลปินควรมีสำนึกว่าตนเองทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน  ดังที่ศรีนาครเขียนไว้ว่า  “ศิลปะทั้งผองต้องเกื้อเพื่อชีวิต   ของมวลมิตรผู้ใช้แรงงานทุกแห่งหน  ใช่เพื่อศิลปะอย่างที่นับสัปดน  ใช้เพื่อตนศิลปินชีวินเดียว”  ในสภาวะที่เป็นจริงของสังคมไทยเบื้องหน้านี้คือ  รับใช้กรรมกรชาวนาอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในการต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีด  รับใช้ประชาชาติไทยในการต่อสู้กับอิทธิพลของมหาอำนาจผู้รุกราน  รับใช้ผู้รักสิทธิเสรีภาพในการต่อสู้คัดค้านเผด็จการฟัสซิสต์  จิตสำนึกเช่นนี้เกิดขึ้นได้ท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริง
                แน่นอนว่า  ย่อมแตกต่างจากเป้าหมายของการทำงานอีกแบบหนึ่งคือ  ๑. เกียรติ  สร้างผลงานเพียงเพื่อใช้งานเป็นบันไดก้าวไปสู่เกียรติยศที่คับแคบเฉพาะตน  หรือ ๒. เพื่อเงินตรา  ยอมให้อำนาจเงินกำหนดความคิดทุกสิ่งทุกอย่าง
                ทุกวันนี้มีนักเขียนไม่ว่าจะเป็นรุ่นอาวุโสหรือรุ่นใหม่ๆ ได้มองเห็นและเข้าใจได้ว่า  นักเขียนจะต้องทอดตัวเข้าไปสร้างผลงานรับใช้ประชาชน
                เราจะมามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตนอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อกรรมกรชาวนาส่วนใหญ่ของประเทศกำลังอดอยากปากหมอง  ทุกข์ยากแสนสาหัส
                เราจะมามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตนอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อเสือร้ายและหมาป่า-มหาอำนาจผู้รุกรานกำลังแย่งขย้ำเอกราชและความเป็นไทของประชาชาติไทย
            เราจะมามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อบ้านเมืองเราเป็นค่ายกักกันและขุมนรกอันมืดมน  โดยฝีมือของเผด็จการฟัสซิสต์
                การจะสร้างสรรค์ผลงานรับใช้ประชาชนได้ดีหรือไม่  เป้าหมายการทำงานเป็นพื้นฐานสำคัญ  ถ้ามีเป้าหมายเพื่อส่วนตัว  ย่อมไม่อาจทำงานเพื่อส่วนรวม  เพราะมันไปด้วยกันไม่ได้  และจะเสแส้รงก็ย่อมไม่ได้  งานเขียนที่ดีไม่อาจเสแสร้งเขียนขึ้นมาได้  น้ำตาปลอมของนางเอกหนังไทยบางเรื่องไม่อาจทำให้คนดูสะเทือนใจได้อย่างแท้จริง  ไม่อาจเสแส้รง  หากต้องถอดออกมาจากชีวิตจิตวิญญาณแท้จริงทุกตัวอักษร  ทุกบรรทัดย่อมสะท้อนจุดมุ่งหมายของผู้เขียน
                ทั้งในอดีตและปัจจุบัน   ได้มีนักขเยีนของประชาชนก้าวไปบนเส้นทางเกียรติยศแห่งการรับใช้ประชาชนภายใต้สภาพที่ยากลำบากคือ  อยู่ใต้เงาปืนของเผด็จการฟัสซิสต์  หลายคนเสียสละเกียรติยศจอมปลอม  เสียสละช่องทางแห่งการกอบโกย  มาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อประชาชน  บางคนไดพิสูจน์ให้เห็นว่า  เขาไม่เสียดายแม้จะเสียสละชีวิตอันมีค่า(มีค่าเพราะเป็นชีวิตของคนที่ทำงานเพื่อส่วนรวม)  สร้างแบบอย่างอันสูงส่งแก่นักเขียนรุ่นหลังและมวลชนนักต่อสู้
                ทุกวันนี้อุดมการณ์ของนักเขียนเพื่อประชาชนนับวันแข็งกล้า  แผ่ขยาย  ผลงานสร้างสรรค์นับวันมีพลัง  ไม่ว่าจะมีความยากลำบากอย่างไร  สามารถยืนหยัดสร้างผลงานได้ถึงที่สุด  การุดหน้าไปอย่างย่อท้อ
                มีบทกวีบทหนึ่งที่สะท้อนอุดมการณ์เช่นนี้อย่างลึกซึ้งว่า
                            เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
            สักพันชาติจะสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
            แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
            จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน

  นักเขียนต้องกล้า

                ชีวิตการต่อสู้ของประชาชนมีเรื่องราวอยู่มากมาย  เป็นเสมือนวัตถุดิบของโรงงานสมองและปากกา  เป็นต้น  ธารของศิลปะวรรณคดีอันอุดมสมบูรณ์  เมื่อต้องการวัตถุดิบ  ต้องการสร้างสรรค์ศิลปวรรณคดีก็ต้องกล้าบุกเข้าไปให้ถึงแหล่งวัตถุดิบ  ให้ถึงต้นธารของมัน  เมื่อนักเขียนจะไปสัมผัสชีวิตของประชาชน  ก็ต้องใช้ความกล้าระดับหนึ่ง  หรือเดิมทีบางคนมีเงื่อนไขในการสัมผัสสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ  แต่พอตั้งใจจะสัมผัสขึ้นมา  ก็ต้องรวบรวมความกล้าเช่นกัน  หรือแม้แต่การจะนั่งรถผ่านๆ มองคนจนด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ก็ต้องใช้ความกล้าอีกเหมือนกัน  ที่พูดเช่นนี้เพราะบางคนไม่กล้าแม้แต่จะเห็นใจคนยากคนจน(เห็นใจจริงๆ ไม่ใช่หลอกๆ)  เหลียวไปเห็นชาวนาแว่นหนึ่งก็สรุปทันทีว่า “ชาวนาขี้เกียจ” อะไรทำนองนี้  เขาไม่กล้าเพราะมันขัดผลประโยชน์ของเขา
                ยิ่งถ้านักเขียนตัดสินใจจะใช้ปากกาของตนเป็นส่วนหนึ่งแห่งการต่อสู้ของประชาชน  ก็ยิ่งต้องใช้ความกล้ายิ่งขึ้นอีก  กล้าจะท้าทายอิทธิพลของมหาอำนาจผู้รุกราน  กล้าท้าทายอำนาจของเผด็จการฟัสซิสต์  กล้ากบฏต่อความสะดวกสบายที่มีอยู่เดิมไปสู่สภาพใหม่ที่ยากลำบากกว่าเก่าเพื่อเข้าถึงต้นธารของศิลปวรรณคดี  เพื่อจะได้ทำงานสร้างสรรค์อย่างมีชีวิตชีวา  ปลุกผู้ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้นมาพบแสงแห่งสัจจะ  เหล่านี้เป็นความกล้าที่ประชาชนต้องการ
                การหมกตัวเป็นกวีราชสำนัก  ไม่ยอมรับรู้โลกกว้าง  มีแต่สายตาจะสั้น   ความคิดจะแคบลง  ไหนเลยจะสร้างผลงานรับใช้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้  มีแต่ต้องกล้าบุกกล้าผจญ  กวีสมัยก่อนเขียนเป็นฉันท์ไว้ว่า  “จงจรเที่ยว  เที่ยวบทไป  พงพนไพร  ไศลลำเนา”  คือส่งเสริมให้ท่องเที่ยวไปพบสิ่งใหม่  และยังมีบทกวีของต่างประเทศว่า  “อินทรีโผบินไปในนภา  มัจฉาแหวกว่ายกลางสายชล”  คือส่งเสริมให้ไปฝ่าคลื่นลม  หากเรามีเป้าหมายว่าจะทำงานรับใช้ประชาชน  การออกไปฝ่าคลื่นลมย่อมหมายถึงไปพบบทเรียนแห่งการต่อสู้ในชีวิตของประชาชน  ไม่ใช่ผจญภัยเพียงเพื่อพิสูจน์ความเป็น “แมน” ของข้าอย่าง “สิงห์เท็กซัส”
                และเมื่อมั่นใจว่าต้องทำงานเพื่อประชาชนไปตลอดชีวิต  ก็ต้องกล้าบุกกล้าผจญตลอดชีวิตเช่นกัน  ส่วนรูปธรรมการทำเช่นนี้ก็ต้องแล้วแต่สภาพความเป็นจริงของแต่ละบุคคล
                การกล้าศึกษาสิ่งใหม่ๆ  กล้าสัมผัสแนวคิดที่ขัดแย้งกับความคิดที่เรายึดมั่นอยู่เดิม  กล้าบุกกล้าผจญไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอเป็นเงื่อนไขช่วยให้หูตาเรากว้างไกล  ความคิดพัฒนาสดชื่นอยู่ไม่ขาด  ความคิดเก่าสิ้นอายุไป  ความคิดใหม่เกิดขึ้นมา  มีแต่ต้องอยู่ท่ามกลางความเคลื่อนไหว  จึงจะมีการพัฒนา
                การรับรู้  ทำความเข้าใจชีวิตที่เป็นจริง  บางด้านบางเรื่องต้องใช้เวลาสะสมยาวนานพอสมควร  มิใช่จะสุกงอมเอามาเขียนได้ทันที  ในการเผชิญคลื่นลมมีทั้งเรื่องราวที่เขียนออกมาเป็นตักอักษรบนกระดาษได้ทันที  และที่เขียนไว้ในใจ

มีเข็มทิศในการทำงาน  ประสานทฤษฎีกับรูปธรรม

                เมื่อเราทบทวนอ่านไดอารี่เก่าๆ ก็มักรู้สึกเหนียมอาย  และได้แต่คิดว่า  ทำไมเราอ่อนหัดน่าขันเช่นนั้น  เพื่อนนักเขียนบางคนนั่งฉีกผลงานเก่าๆ ของตนเองด้วยความรู้สึกว่า “ทำไมต้องเสียเวลานั่งเขียนเรื่องห่วยๆพรรค์นั้น”  แต่ว่ามันก็คือความเป็นจริง  ถ้าไม่มีวันนั้น   ก็คงไม่มีวันนี้  มีอดีตจึงมีปัจจุบัน  ต่ออดีตเรามีบทเรียน  แต่อนาคตเราก็ยังอ่อนหัดอยู่ดี  เพราะโลกเปลี่ยนไป  สิ่งใหม่ที่เรายังไม่รู้จักเกิดขึ้นเสมอ  แต่เราก็พอจะลดความสะเปะสะปะในอนาคตลงได้  ถ้าเรามี “เข็มทิศ” ชี้ทางเดิน
                ผมเองก็เช่นกัน  เคยสะเปะสะปะเหมือนคนตาฟาง  เขียนไปตามที่ตัวเองนั่งคิดเอาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นมันน่าจะเป็นอย่างนี้  อาจจะเรียกได้ว่า “ชี้นำการเขียนด้วยอัตวิสัย”  ซึ่งมีทั้งเข้าท่าและไม่เข้าท่า  แต่ส่วนมากจะไม่เข้าท่า  ตัวละครที่เราเขียนถึงแต่ก่อนจึงไม่ค่อยเหมือนคนจริงเท่าไรนัก  แต่เป็นหุ่นที่เราปั้นขึ้นมา  ตัวละครที่เป็นชาวนา  ไม่ได้พูดคิดหรือกระทำอย่างชาวนาจริงๆ  แต่กลับไปเหมือนคนเขียนก็มี  และเมื่อค้นคว้าลงไปอีกทีก็พบว่าตัวเองขาดการนำทฤษฎีทางสังคมการเมืองและศิลปวรรณคดีมาใช้
                ในความเป็นจริง  ภารกิจทางวรรณกรรมจักต้องสัมพันธ์อย่างสนิทแน่นแฟ้นกับภารกิจด้านอื่นๆ ที่สำคัญคือสังคมการเมือง-เศรษฐกิจ  ทฤษฎีสังคมการเมืองที่ว่าคือทฤษฎีของฝ่ายประชาชน  มีเนื้อหาก้าวหน้า  การซึกษาปรัชญาที่ก้าวหน้าช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่สับสนซับซ้อนของโลกและชีวิต  การศึกษาเศรษฐศาสตร์ของประชาชนช่วยให้เข้าใจระบบกลไกแห่งการขูดรีดที่คนส่วนน้อยกระทำต่อคนส่วนใหญ่  การศึกษาประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้นของประชาชน  ช่วยให้มองเห็นพลังประชาชน  มองเห็นทางออกที่สดใส  และการศึกษาทฤษฎีทางศิลปะวรรณคดีช่วยให้เรามองเห็นลู่ทางในการทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น
                การศึกษาทฤษฎีเป็นเพียงการรับรู้ขั้นต้น  ยังไม่เกิดความเข้าใจที่แท้จริง  แต่เมื่อได้นำไปใช้ในการทำงาน  การต่อสู้  นำไปประสานกับรูปธรรมที่พบเห็นในการ “กล้าบุกกล้าผจญ” นั่นแหละจึงจะค่อยเข้าใจขึ้นมา
                เช่น ปรัชญาวิภาษวิธีแห่งวัตถุนิยม  ซึ่งมีหัวใจอยู่ที่ว่า “หนึ่งต้องแยกเป็นสอง” ถ้านำไปใช้วิเคราะห์สภาพความเป็นจริงที่เราพบเพื่อแปรเป็นงานเขียน  ก็จะช่วยให้การกุมเนื้อหาของเรื่องสอดคล้องกับความเป็นจริง  มีชีวิตชีวา  ตัวละครก็มีลมหายใจ  มีสมอง  ความคิดและกิริยาท่าทางของตัวละครก็มีลักษณะเคลื่อนไหว  เปลี่ยนแปลงพัฒนาโดยตลอดตามสภาพเงื่อนไขภายนอก  และปัจจัยภายในของตัวละครนั้นๆ มีภาพสองด้านของตัวละครตัวหนึ่ง
                การทำงานเขียนสร้างสรรค์เป็นการเอาภาพความจริงมาดัดแปลง  ปรุงแต่งต่อเติมบนพื้นฐานของความเป็นจริง  และส่วนที่เราคิดต่อเติมนี้อาจมีแนวโน้มไปทาง “อภิปรัชญา” ได้ลักษณะด้านเดียว  โดดเดี่ยว  ผิวเผิน  และหยุดนิ่งโผล่หางออกมาให้เห็นได้ไม่ยาก  เช่นวางโครงเรื่องไว้ว่า  ตอนจบ  คุณแมนสรวงจะต้องเป็นคนดี(หลังจากตีหน้ายักษ์ตลอดเรื่องจนเมื่อยหน้า)  พอเขียนไปถึงตอนที่ ๕๐๐ คุณแมนสรวงก็พูดว่า “ผมรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว  การกดหัวคนอื่นเป็นเรื่องไม่ดี  จงทำดี  มีศีลธรรม  ถือความสัตย์”  แต่พอคนอ่านๆ จบแล้วไม่เชื่อว่าคุณแมนสรวงถูกเขียนบังคับให้พูดเช่นนั้น  ผลคืองานเขียนชิ้นนั้นขาดพลังปลุกเร้าใจให้คนอ่านเชื่อถือ  รู้สึกไม่สมจริง
                ผู้เขียนก็เสียท่าให้ “อภิปรัชญา” บ่อยๆ เช่นวางโครงเรื่องตามที่ตนต้องการอย่างเดียว  หรือปล่อยโครงเรื่องไปตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนคนอ่านจับอะไรไม่ได้  หรือยัดเยียดคำพูดก้าวหน้าอย่างยิ่งใส่ปากตัวละครที่ล้าหลัง  หรือเชิดชักบทบาทล้าหลังให้ตัวละครที่น่าจะก้าวหน้ากว่านั้น  เห็นปรากฏการณ์หดหู่มากๆ ก็เขียนแต่ด้านหดหู่จนกลายเป็นบั่นทอนกำลังใจคนอ่าน  หรือไม่ก็ “ปล่อยไก่” ให้ตัวละครที่ว่าเป็นชาวนาทำอะไรที่ชาวนาเขาไม่ทำกัน  เช่นให้แม่แสดงความเอ็นดูลูกสาวด้วยการจับปลายคางลูกสาว
                มีคำพูดเหลวไหลที่ว่า  นักศึกษาทฤษฎีทางสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจมาก  งานเขียนจะกระด้าง  เพราะความจริงมันตรงกันข้าม  นักเขียนที่คับแคบและลุ่มหลงตนเองบางคนยังอุตส่าห์แสดงความเห็นของเธอว่า “อเมริกาแกล้งแพ้ในสงครามอินโดจีน” ความเห็นเช่นนี้ถ้าแสดงออกในงานเขียน  จะทำให้งานเขียนอ่อนโยนหรือแข็งกระด้างเล่า?  ถ้าไม่เข้าใจทฤษฎีทางสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจ  หรือรู้งูๆ ปลาๆ นั่นแหละโอกาสที่จะ “แข็งกระด้าง” ยิ่งมีมาก
                จิตร ภูมิศักดิ์ ศึกษาภาษาศาสตร์อย่างลึกซึ้งจนถึงรู้ความเป็นมาของถ้อยคำภาษา  เขาจึงมีภาษาอันอุดมสมบูรณ์ที่จะมาเขียนหนังสือให้อ่านง่ายๆ กะทัดรัด  ได้อารมณ์เป็นนายของภาษา  แต่คนที่ศึกษาภาษาศาสตร์งูๆ ปลาๆ แล้วพยายามจะใช้ถ้อยคำศัพท์แสงโอ่ๆ อ่าๆ โดยไม่เหมาะกับความหมายของมัน  ก็ทำให้งานเขียนอ่านยาก  ที่พอจะเปรียบเทียบกับการศึกษาทฤษฎีทางสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจได้
                ผมเชื่อมั่นว่า  การจะทำงานสร้างสรรค์วรรณกรรมให้ได้ดี  มีแต่ต้องศึกษาทฤษฎีที่ก้าวหน้าประสานกับการปฏิบัติที่เป็นจริง  มีทั้งเศรษฐศาสตร์ในหนังสือและเศรษฐศาสตร์ในท้องนา  ให้มันฝังลึกอยู่ในจิตสำนึก  มีใช่เป็นเพียงเนคไทประดับหน้าอก  หรือดาบอาญาสิทธิ์ของเอกชนเที่ยวฟาดฟันโดยไม่รับผิดชอบ  แต่เป็นดาบอันคมกริบในมือของประชาชน
                เมื่อมีเข็มทิศชี้นำการทำงาน  ก็ช่วยให้มองเห็นวิถีทางการสร้างสรรค์ชัดเจนว่าจะรับใช้ใครจะทำอย่างไร  การเลือกเนื้อหา  แง่มุมในการเขียนทำได้ตรงเป้าขึ้น  คนอ่านย่อมต้อนรับ  ในยุคสมัยหนึ่งๆ มันจะมีเรื่องราวบางอย่างอยู่ในหัวใจของมวลชน  การศึกษาทฤษฎีที่ก้าวหน้าทั้งทางสังคมและวรรณคดี  ช่วยให้เห็นประตูทางเข้าไปนั่งในหัวใจของมวลชน  สามารถสะท้อนเรื่องราวต่างๆ ออกมาอย่างชีวิตชีวา  และในงานเหล่านี้ก็จะมีงานบางชิ้น  เป็นตัวแทนอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันของคนในยุคสมัย  ทำหน้าที่เป็นเสมือนจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ถึงคนรุ่นหลัง

รูปแบบกับเนื้อหา

                งานเขียนชิ้นหนึ่งๆ มีส่วนประกอบสำคัญ ๒ ส่วน  คือเนื้อหากับรูปแบบ  เนื้อหาคือเรื่องราวการต่อสู้ของประชาชนในด้านและแง่มุมต่างๆ ที่ผู้เขียนมุ่งหมายสื่อสารถึงผู้อ่าน  รูปแบบเป็นกระบวนการที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาอย่างเต็มที่  ในการเขียนหมายถึงจะเขียนแบบใด(ร้อยแก้ว  ร้อยกรอง) จึงจะเหมาะสมกับเนื้อหา  ใช้ท่งทำนองการเขียนแบบใด(ถ้อยคำสำนวน  การลำดับความหรือการดำเนินเรื่อง  ลีลาการเสนอเรียบๆ หรือผาดโผนตามสภาพของเนื้อหา)
                งานเขียนชิ้นหนึ่ง เนื้อหาเป็นด้านหลักเพราะมันคือเป้าหมายของผู้เขียนเป็นเบื้องต้นที่จะกำหนดว่างานเขียนชิ้นนั้นจะใช้ได้หรือไม่  ส่วนรูปแบบเป็นด้านรอง  มันเป็นสะพานให้เนื้อหาข้ามไปถึงคนอ่าน  ดังนั้นนักเขียนของประชาชนจึงทุ่มเทพลังกายพลังใจในการค้นคว้าเนื้อหามากกว่า  แต่ก็ไม่ทอดทิ้งการค้นคว้ารูปแบบ   เพราะไก่งามเพราะ(มี)ขน(เป็นส่วนประกอบ)  ถ้าไก่ไม่มีขนกลายเป็นความทุเรศตา  ในกรณีที่งานเขียนชิ้นหนึ่งมีเนื้อหาที่รับใช้ประชาชนแล้ว  รูปแบบก็อาจขึ้นมาอยู่ในฐานะปัจจัยชี้ขาดได้เหมือนกันว่างานเขียนชิ้นนั้นจะรับใช้ประชาชนได้ดีหรือไม่  ผมเห็นด้วยที่มีคนกล่าวว่าถึงเนื้อหาจะดีหากรูปแบบเป็นอุปสรรคก็ไม่อาจเข้าถึงคนอ่าน  ในทางตรงกันข้าม  หากเนื้อหาไม่ดี  ถึงรูปแบบจะดีเพียงใด  ก็เหมือนไก้เน่าขนงาม  เพียงได้กลิ่นก็โยนลงถังขยะได้เลย
                ที่ว่าเนื้อหาดี  คือดีในความหมายของคนส่วนใหญ่คือกรรมกรชาวนา  ดีในความหมายของประชาชาติไทย  เป็นเนื้อหาคัดค้านการกดขี่  เชิดชูผู้ใช้แรงงาน  คัดค้านการรุกราน  สดุดีการต่อสู้เพื่อเอกราชประชาธิปไตย    แสดงบทบาทสัมพันธ์กับภารกิจด้านอื่นๆ ในสังคมอย่างสนิทแน่นแฟ้น  รูปแบบที่ดีคือรูปแบบที่สอดคล้องกับเนื้อหาข้างต้น  เหมาะสมกับคนอ่านกลุ่มนั้นๆ ที่เป็นเป้าหมายช่วยให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาเต็มที่
                ตัวผู้เขียนเองเป็นผู้ทำงานศิลปวัฒนธรรมที่มาจากปัญญาชน  สภาพความเป็นจริงของการศึกษา  การดำรงชีวิต  ค่อนข้างห่างเหินชีวิตที่เป็นจริงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ  ฉะนั้นจุดอ่อนที่แสดงออกในการทำงานเขียนจึงมีทั้งด้านเนื้อหาและรูปแบบ  ขาดความเข้าใจในชีวิตการต่อสู้ทางการผลิต-ทางสังคมของประชาชน  ขาดความเข้าใจในท่วงทำนองการเล่าเรื่องให้เข้าใจง่ายๆ แบบชาวบ้าน  ขาดความเข้าใจอันลึกซึ้งในภาษาที่มีชีวิตชีวาของกรรมกรชาวนา  การจะแก้จุดอ่อนนั้นเห็นจะได้โดยต้องมีเป้าหมายการทำงานที่ถูกต้อง  เข้าร่วมต่อสู้คลุกคลีทำความเข้าใจชีวิตที่เป็นจริงของคนส่วนใหญ่

เตรียมให้พร้อม   ประกันชัยชนะ

                ช่างก่อสร้างย่อมมองเห็นบ้านสำเร็จรูปทั้งหลังตั้งแต่เริ่มลงเสาบ้าน
                ก่อนลงมือเขียน  ผมเห็นว่าเราควรมีภาพสมบูรณ์ขั้นสุดท้ายอยู่ในสมอง  มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่าจะแสดงเนื้อหาอะไร  มองเห็นฉาก  มองเห็นใบหน้าตัวละคร  และมองเห็นจังหวะก้าวคร่าวๆ ว่า ตัวละครแต่ละตัวจะแสดงบทบาทไปในแนวไหน  มีจุดหนักจุดเบาในการดำเนินเรื่องอย่างไร  และโครงเรื่องที่วางไว้ก่อนย่อมพลิกแพลงไปได้ตามสภาพที่เหมาะสมในกรณีที่ค้นพบประเด็นใหม่ที่เหมาะสมกว่า
                ถ้าการเตรียมข้อมูล  เตรียมเค้าโครงดี  เวลาที่ลงมือเขียนจริงๆ ก็ไม่น่าจะยืดเยื้อเกินไป  เช่นเดียวกับการคลอดลูกย่อมสั้นกว่าเวลาตั้งครรภ์
            เรื่องสั้นหรือบทกวีดีๆ บางชิ้นอาจใช้เวลาเขียนไม่มาก  ทว่าได้ผ่านการสะสมประสบการณ์และข้อมูลมาเป็นปี
                ปัญหาที่พบในการเขียนหนังสือ  ถ้าขาดการเตรียมพร้อม  งานชิ้นนั้นก็อาจล้มกลางคัน  หรือเขียนไปก็จืดชืดคลุมเครือจนอาจเกิดความผิดพลาดทางเนื้อหา  น่าเห็นใจว่าในสังคมที่นักเขียนต้องทำงานแข่งกับค่าครองชีพ  การต้องทำงานทั้งที่เตรียมไม่พร้อมนั้นเป็นไปได้ง่ายมาก  การแก้ปัญหาพรรค์นี้คงต้องพูดกันยาว

โลกทรรศน์ชี้ขาดผลงาน

                นักเขียนจะยืนหยัดในเป้าหมายการทำงานเพื่อมวลชนได้หรือไม่  หรือได้ดีหรือไม่  การใช้ชีวิตส่วนตัวเป็นปัญหาสำคัญทีเดียว  การใช้ชีวิตส่วนตัวย่อมสัมพันธ์กับการทำงาน  ส่งผลสะเทือนแก่กัน  ไม่อาจแยกขาดจากกันได้  พูดอีกแง่หนึ่ง  ชีวิตส่วนตัวของนักเขียนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน  เป้าหมายในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไร  งานเขียนก็สะท้อนออกมาอย่างนั้น
                การทำงานสร้างสรรค์รับใช้ประชาชน  จำเป็นที่นักเขียนต้องเข้าใจ  ความคิดความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชน  เข้าใจอารมณ์ความรู้สึก  มีสำนึกอันละเอียดอ่อนร่วมกับพวกเขา
            ดาราละครจะสวมบทบาทตัวละครได้ดีคือการทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองกว้างขวางไม่ผูกมัดด้วยเอกชน  รับบทอะไรก็ได้ที่รับใช้ประชาชน  นักเขียนจะทำงานได้ดีก็ต้องไม่ผูกมัดตัวเองด้วยความคิดเอกชน  ออกห่างจากความคิดคับแคบตื้นเขิน  จึงจะสามารถสะท้อนทุกมิติของภาพและดิ่งลึกลงไปในวิญญาณของผู้ใช้แรงงาน  จับธาตุแท้ของคนฐานะต่างๆ มาแปรเป็นตัวหนังสือ

คนอ่านน่ารัก  คนเขียนคึกคัก

                ในความเห็นของผม  ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับคนเขียน  มีสำคัญอยู่สองแบบ  คือแบบที่หนึ่งความสัมพันธ์แบบการค้า  วรรณกรรมกลายเป็นสินค้าราคาถูกที่สร้างความร่ำรวยให้แก่ไม่กี่คน  และคนอ่านก็ไม่ได้มีสติปัญญาเพิ่มเติมจากการอ่าน  เป็นเรื่องน่าขมขื่นใจทั้งคนเขียนคนอ่าน  แบบที่สองคือความสัมพันธ์ทางอุดมการณ์  เมื่อเรา(ไม่ว่าคนเขียนหรือคนอ่าน) มีจุดมุ่งหมายทางความคิดร่วมกัน   เราต่างใช้ความถนัด  ความสามารถที่เรามีไปช่วยกันผลักดันให้จุดมุ่งหมายนั้นเป็นจริงขึ้นมา  ความสัมพันธ์เช่นนี้มีได้ทุกที่ๆ มีการต่อสู้  คนอ่านกับคนเขียนเป็นเสมือนญาติสนิท  ได้เผชิญอุปสรรค  ฝ่าพายุคลื่นลมร่วมกัน  ความเอาใจใส่ถนอมรักกันย่อมเกิดขึ้น  ต่างเข้าไปนั่งในหัวใจของกันและกัน  ความอบอุ่นที่ได้รับมีค่ามากกว่าค่าลิขสิทธิ์ไม่กี่พันบาท  ค่าลิขสิทธิ์หมดแล้วอาจหาใหม่ได้ไม่ยาก  แต่หากเมื่อใดเราทรยศผู้อ่าน  ย่อมไม่มีความถนอมรัก  ไม่มีความอบอุ่นจากผู้อ่าน  มันคงเงียบเหงาและว้าเหว่มากไม่ใช่หรือ  สำหรับคนเขียนหนังสือ  แต่เรื่องเศร้าแบบนั้นไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ มวลชนผู้อ่านให้โอกาสและให้ความเป็นธรรมแก่คนเขียนหนังสือเสมอ  นักเขียนที่เคยเดินสะเปะสะปะอย่างผมจึงเดินตรงทางขึ้นบ้าง  โดยอาศัยผู้อ่านยื่นมือให้จูง  ให้คำแนะนำ  ให้คำวิจารณ์เพื่อปรับปรุงงานเขียน สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า  เราน้อมใจพอหรือไม่ที่จะรับการช่วยเหลือจากคนอ่าน

            ทั้งหมดนี้เป็นบันทึกจากการทำงานของนักเขียนคนหนึ่ง  เป็นความคิดเห็นส่วนตัว  เป็นบันทึกสำหรับเรียกร้องตนเอง  สำหรับนักเขียนคนอื่นๆ ที่มีเงื่อนไข-สภาพความเป็นจริงแตกต่างกัน  ก็อาจมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป  ไม่อาจเรียกร้องให้เหมือนกันหมด  อย่างไรก็ตาม ก็น่าจะมีจุดใหญ่ๆ ร่วมกัน  โดยเฉพาะในปัญหาเพื่อใคร



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น