วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Jack Kerouac : จิตติ พัวสุทธิ

 

ภาพจาก 

https://www.famousauthors.org/jack-kerouac

ชื่อภาพ A symbol whose meaning is not uniformly understood … Jack Kerouac. Photograph: John Cohen/Getty Images

บทความชิ้นนี้เป็นของ จิตติ พัวสุทธิ และเจ้าของบล็อกนำมาเผยแพร่โดยไม่ได้ขออนุญาต


"ทุกสิ่งเป็นของฉัน เพราะฉันจน"

"ขีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกชั่วขณะคือความประทับใจ"

    12 มีนาคม 1922 ทารกน้อยคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นพิภพในนามของ จีน-หลุยส์ เคอรัวแอ็ก หากแต่ในเวลาต่อมาโลกขานรับเขาในนาม แจ็ก เคอรัวแอ็ก ผู้นำและโฆษกของเดอะบีต เจเนอเรชัน เจ้าของนวนิยายที่พลิกโฉมหน้าความฝันแบบอเมริกัน- ออน เดอะ โรด (On the Road)

    เช่นเดียวกับชนชั้นแรงงานชาวแคนาดา-ฝรั่งเศสในโลเวลล์ แมสซาชูเซตต์ส่วนใหญ่ ลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวเคอรัวแอ็กใช้ภาษาฝร่ังเศสพื้นถิ่นได้คล่องปาก ก่อนที่เขาจะเจนจัดกับภาษาอังกฤษในฐานะเครื่องมือชิ้นสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ เพื่อความมั่นคงของครอบครัวและต้องการลดภาระทางบ้าน แจ็กหวังจะสอบชิงทุนด้านการกีฬาเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและบ่ายหน้าต่อไปสู่ธุรกิจประกัน

    ในฐานะดาวเด่นทีมอเมริกันฟุตบอล ประกอบกับชัยชนะและถ้วยรางวัลที่ได้มาตลอดเวลาร่ำเรียนในไฮสกูล จงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะได้รับเลือกให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก อนาคตสดใส ความฝันแบบอเมริกันดูเหมือนจะไม่ไกลเกินกว่าเขาจะไขว่คว้า

"คุณไม่อาจเกิดโดยปราศจากการมีอยู่ และคุณไม่อาจตายโดยปราศจากการเกิด"

    แต่แล้วราวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกจัดวางไว้ แจ็กมีปากเสียงกับโค้ชผู้ฝึกสอน เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมทีมอเมริกันของมหาวิทยาลัย ในเวลาเดียวกันนั้นเองครอบครัวของเขาประสบกับปัญหาล้มละลาย พ่อของเขากลายเป็นคนติดเหล้า ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเริ่มจะร้าวฉานและภายในเวลาไม่นานนักก็เข้าสู่ภาวะวิกฤติ แจ็กตัดสินใจดร็อปการเรียน หวังจะเนรเทศตัวเองสู่ท้องเทะเลกว้างกับกองทัพเรือ (เวลานั้นสงครามโลกเพิ่มจะเริ่มต้น) หากแต่เขากลับสมหวังกับอาชีพพาณิชย์นาวีแทน เมื่อว่างเว้นจากงานในอาชีพ เขามักจะเตร็ดเตร่ไปทั่วนิวยอร์กกับบรรดาผองเพื่อนผู้ซึ่งพ่อแม่ไม่ให้การต้อนรับ อาทิ นักศึกษานอกคอกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อัลเลน กินสเบิร์ก (Allen Ginsberg), ลูเซียน คาร์ (Lucien Carr), และเพื่อนผู้สูงวัยจากย่านดาวน์ทาวน์ผู้มีบุคลิกแปลกแยกแตกต่าง วิลเลียม เอส. เบอร์โรวห์ส (William S. Burroughs) ตลอดจนคาวบอยหนุ่มจากเดนเวอร์ผู้ร่าเริง นีล แคสซาดี (Neal Cassady)

"ฉันแต่งงานกับนิยายของฉัน แล้วก็มีเรื่องสั้นเป็นลูกๆ "

     เดอะทาวน์ แอนด์เดอะซิตี (The Town amd The City) นวนิยายเรื่องแรกจากการสร้างสรรค์ของแจ็ก เคอรัวแอ็ก ได้รับแรงบันดาลใจจากนักเขียนระดับตำนานก่อนหน้าเขา โทมัส วูล์ฟ (Thomas Wolf) เนื้อหาบรรยายถึงความรวดร้าวที่เขาต้องเผชิญ เมื่อเขาพยายามรักษาสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตเถื่อนในเมืองใหญ่กับคุณค่าชีวิตแบบดั้งเดิมของครอบครัว เป็นเพราะบรรดาเพื่อนแล้วแต่ยอมรับในความสามารถทางด้านการเขียนที่เหนือกว่าของเขา ตลอดจนตกหลุมรักในตัวงานอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จึงพากันผลักดันให้คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียจัดพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม

    เดอะทาวน์ แอนด์เดอะซิตีอาจจะทำให้แจ็ก เคอรัวแอ็กได้รับการยอมรับในฐานะนักเขียน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายรวมถึงชื่อเสียงความโด่งดังแต่อย่างใดเลย

"ประจักษ์พยานของฉันมีก็แต่ท้องฟ้าอันว่างเปล่า"

"กระเป๋าเดินทางของเราอัดแน่นวางอยู่บนบาทวิถีอีกครั้ง หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก แต่จะไปยี่หระทำไมกัน ท้องถนนนั่นแหละชีวิต"

    เพราะต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรงจากผืนแผ่นดินกว้างทั่วถิ่นอเมริกัน แจ็กตัดสินใจควงคู่ นีล แคสซาดี ออกเดินทางข้ามประเทศพร้อมกับเริ่มงานเขียนชิ้นใหม่ไปในเวลาเดียวกัน เขาเริ่มต้นทดลอง วิธีแนวคิดแบบฉับพลัน (Spontaneous Prose) โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวิธีการเขียนจดหมายของ นีล แคสซาดี



    เนื้อหาของนวนิยายเรื่องดังกล่าวบรรยายถึงเรื่องราวที่ได้พบได้เห็นมาในระหว่างการเดินทาง โดยไม่มีการตัดทอน แก้ไข ไหลหลั่งออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการพิมพ์ดีดต่อเนื่องลงม้วนกระดาษที่ไม่มีการตัดแบ่ง จนเกิดเป็นผลงานม้วนใหญ่ชิ้นสำคัญ ออน เดอะ โรด ผลงานชิ้นนี้นับได้ว่าเป็นการบุกเบิกวิธีการเขียนที่แปลกแยกจากงานเขียนทั่วๆ ไปในเวลานั้น นั่นเป็นสาเหตุให้ ออน เดอะ โรด ถูกหมางเมินไม่แยแสจากบรรณาธิการผู้จัดพิมพ์ในเวลานั้น แจ็กต้องร้าวรานจากการถูกปฏิเสธ ประจวบกับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนฝูงระหว่างเขากับนีลก็เดินทางมาถึงจุดร้าวฉาน อย่างไรก็ตามแม้ว่า ออน เดอะ โรด ต้องใช้เวลาอีก 7 ปีกว่าจะได้ปรากฏสู่สายตาของผู้อ่านทั่วไป แต่เมื่อนิยายเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะก็ประสบความสำเร็จในทันที


    "ออน เดอะ โรด เป็นนวนิยายที่ทำให้ผู้อ่านอยากจะออกไปหยิบฉวยวันเวลาเพื่อใช้ชีวิต...ใช้ชีวิต...ใช้ชีวิต..."

    "จริงหรือไม่ที่พวกบีตดูจะชาญฉลาดและกระจ่างแจ้ง? จริงหรือไม่ที่มนุษย์ทุกผู้นามมีความตายเป็นสิ่งที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิต หากว่ามันมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวก่อนที่พวกเขาหรือเธอจะได้ทำอย่างที่อยากทำ?"

    "พวกเขาชาญฉลาดพิที่จะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะก้มหัวยอมรับคุณค่าของความฝันแบบอเมริกัน...พวกตะกายฝัน หยิบฉวย, เอาคืน, จ้องมอง, ตายจาก เพียงเพื่อได้ฝังร่างลงหลังเมืองแห่งสุสานอันน่ารังเกียจ ลองไอแลนด์"

   - บทวิจารณ์ ออน เดอะ โรด โดย แอนนา แฮสส์พี (Anna Hassapi) -

    "มนุษย์เราก็เหมือนกับหมา ไม่ใช่พระเจ้า - ตราบที่แกไม่บ้าไปเสียก่อน พวกมันจะรุมกัดแก - แต่ถ้าแกบ้าขึ้นมา แกจะไม่ถูกกัดเลย พวกหมามันไม่เคยนับถือความนอบน้อมและความโศกเศร้า"



    แจ็ก เคอรัวแอ็ก จากไปเมื่อ 21 ตุลาคม 1969 นับอายุได้ 47 ปี ตลอดชีวิตการสร้างสรรค์ เขาทิ้งผลงานไว้ถึง 19 ชิ้น งานเขียนอื่นๆ ที่น่าสนใจ มีอาทิเช่น เดอะซับเทอร์แรนเนียนส์ (The Subterraneans), เดอะ ดามา บัมส์ (The Dhama Bums), ดีโซเลชัน เอนเจลส์ (Desolation Angels) เป็นต้น รูปแบบการใช้ชีวิตและการเคลื่อนไหวของแจ็ก เคอรัวแอ็กกับผองเพื่อนกลุ่มบีต เจเนอเรชัน ได้ส่งอิมธิพลต่อวงการวรรณกรรมจวบจนทุกวันนี้






บัญญัติและกลวิธีสำหรับร้อยแก้วสมัยใหม่

: แจ็ก เคอรัวแอ็ก Belief & Technique For Modern Prose : Jack Kerouac

1.  ร่างหยาบๆ ในสมุดบันทึกส่วนตัวหรือไม่ก็พิมพ์ดีดหน้าต่อหน้าอย่างบ้าคลั่งเพื่อความสำเริงสำราญของตัวเอง

2.  น้อมตัวต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เปิดกว้างและรับฟัง

3.  พยายามอย่าเมามายนอกบ้านของตัวเอง

4.  ตกหลุมรักชีวิตของตัวคุณเอง
5.  เรื่องราวที่คุณรู้สึก มันจะหาหนทางก่อตัวขึ้นด้วยตัวของมันเอง
6.  จงเป็นนักบุญบอดใบ้บ้าบอของความคิดและจิตใจ
7.  ปลดปล่อยออกมาให้เต็มตื้นเท่าที่คุณต้องการ
8.  เขียนสิ่งที่คุณต้องการให้สุด สุดความคิดและจิตใจ
9.  ฉายภาพสิ่งที่ไม่อาจเล่าขานสาธยายของความเป็นตัวของตัวเอง
10. ไม่มีเวลาประดิดประดอยบทกวี หากแต่จงเขียนอย่างที่เป็นอยู่จริง
11. จินตนาการสั่นระริกอยู่ในหัวอก
12. จงตกอยู่ในภวังค์และความฝันของเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
13. กวาดหลักการ รูปแบบ และไวยากรณ์การเขียนทิ้งไปเสีย!
14. เช่นเดียวกับพรูสต์ จงพวยพุ่งไม่หยุดยั้งดังกาน้ำชาแห่งกาลเวลา (มาร์แชล พรูสต์ Marcel Proust 1871-1922 นักเขียนชาวฝรั่งเศส เจ้าของนิยายดังการแสวงหาวันคืนที่ล่วงลับ A la Recherche du temps perdu เป็นคนแรกๆ ของโลกที่ใช้การเขียนแบบกระแสสำนึก Stream Of Conscious)
15. บอกความจริงของโลกด้วยบทพูดคนเดียวภายใน
16. เพชร ณ ใจกลางแห่งความใส่ใจ คือ ดวงตาที่ปราศจากดวงตา
17. เขียนเพื่อระลึกถึงและพิศวงของตัวเอง
18. สร้างสรรค์จากใจกลางของแก่นสาร แหวกว่ายในทะเลแห่งถ้อยคำ
19. ยอมรับความสูญเสียตราบชั่วนิจนิรันดร์
20. ศรัทธาในโครงร่างอันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต
21. ดิ้นรนเพื่อบันทึกกระแสความคิดและจิตใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปร
22. อย่ากังวลถึงถ้อยคำ เมื่อคุณหยุดเพื่อจะมองภาพให้ชัดเจนขึ้น
23. ตั้งมั่นไม่เฉไฉในทุกๆ วัน แล้วเป้าหมายจะประดับประดาอยู่ในยามเช้าของคุณ
24. อย่าหวาดกลัวและละอายในศักดิ์ศรีของประสบการณ์ ภาษา และความรอบรู้ของตัวเอง
25. เขียนให้โลกอ่านและเห็นภาพที่แท้จริงของมันด้วยตัวคุณเอง
26. ภาพยนตร์หนังสือ (Bookmovie) คือ หนังที่ฉายด้วยถ้อยคำ ทรรศนะของรูปแบบอเมริกัน
27. สรรเสิรญบุคลิกลักษณะของมนุษย์ในฐานะของความโดดเดี่ยวเดียวดาย
28. ประพันธ์ออกมาจากเบื้องลึกภายในอย่างบริสุทธิ์, ดิบเถื่อน, หลุดกรอบ และบ้าคลั่งกว่าที่เคยเป็นมา
29. คุณคืออัจฉริยะตลอดเวลา
30. นักเขียน - ผู้กำกับภาพยนตร์แห่งพื้นพิภพจะได้รับการอุปถัมภ์และปกปักในสรวงสวรรค์ 

                                                                                [Jack Kerouac Reads At Artist's Studio

American author Jack Kerouac (1922 - 1969) gestures expansively as he reads poetry at the Artist's Studio (48 East 3rd Street), New York, New York, February 15, 1959. (Photo by Fred W. McDarrah/MUUS Collection via Getty Images)]


   

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Allen Ginsberg : ทินกร หุตางกูร

 

Photo by Cyril H. Baker/Pix Inc./The LIFE Images Collection/Getty Images

ส่วนบทความนี้เป็นของ ทินกร หุตางกูร (ซึ่งเป็นนักเขียนและมีผลงานตีพิมพ์หลายชิ้น) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร link และเจ้าของบล็อกนำมาเผยแพร่โดยไม่ได้ขออนุญาต




"เราจะไปหนใด วอลต์ วิทแมน? อีกชั่วโมงเดียวประตูก็จะปิดแล้ว เคราของคุณชี้ที่แห่งไหนค่ำคืนนี้? (ฉันสัมผัสหนังสือของคุณ และฝันถึงการผจญภัยในซูเปอร์มาร์เกตพลางรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ"

    อัลเลน กิบสเบิร์ก เกิดในปี 1926 ที่นีวาร์ก-รัฐนิวเจอร์ซีย์-สหรัฐอเมริกาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคยทำงานเป็นเด็กล้างจาน เด็กยกกระเป๋า คนตรวจรายการสินค้า รู้จักกับ ปีเตอร์ โอลาฟสกี ที่ซานฟรานซิสโก ปี 1954 ก่อนเป็นคู่รักกัน-อยู่ด้วยกันเหมือนสามีภรรยา ต่อมาแยกทางกัน แต่ทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดี จวบกินสเบิร์กตายในเดือนเมษายน ปี 1957

    กินสเบิร์กเป็นนักเขียนกลุ่ม "บีต" (Beat) ซึ่งก่อตั้งช่วงปลายทศวรรษ 50 นักเขียนมีชื่อของกลุ่มนี้ เช่น แจ็ก เคอรัวแอ็ก (ผู้เขียน On the Road) วิลเลียม เบอร์โรวห์ส (ผู้เขียน Naked Lunch) คนทั่วไปมองว่า บีต คือพวกชอบนั่งตามร้านกาแฟมืดๆ ฟังเพลงแจ๊ซ ทว่าในความคิดของผู้เรียกตัวเองว่าบีต พวกเขาเป็นคนแปลกแยกกับสังคม (subterranean) คนนั่งใต้ถุนโลกเงยหน้ามองหาแสงดาวของความเปลี่ยนแปลง (เพราะสิ้นหวังกับสิ่งรอบกาย : ระบบอุตสาหกรรม สงครามเย็น เศรษฐกิจทุนนิยม ฯลฯ) คนสวมรองเท้าที่มีเลือดท่วมเดินเตร่ตลอดคืนแถวท่าเรือซ่งหิมะปกคลุม รอประตูในเขตอีสต์ริเวอร์เปิดให้เข้าไปในห้องที่อวลด้วยไอร้อนกับฝิ่น เหมือนตอนหนึ่งใน Howl บทกวีขนาดยาวของอัลเลน กินสเบิร์ก : who walked all night with shoes full of blood on the snowbank docks waiting for a door of East River to open to a room full with heat stream and opium.

    กินสเบิร์กสนใจการแสวงหาด้านจิตวิญญาณ เคยทดลองสารเสพติดอย่างกัญชากับเบนเซดรีน (คนยุคนั้นเชื่อว่า ยาเสพติดเป็นเครื่องบินที่สามารถพาบินไปสู่การหลุดพ้น) เขายอมรับว่าบทกวีหลายบทเขียนขณะเสพยา

    งานของกินสเบิร์กมักถูกตีความว่ารุนแรง หมิ่นเหม่ศีลธรรม และอนาจาร (ทั้งเนื้อหา - การใช้คำ อาทิประโยคหนึ่งในบทกวี America : Go fuck yourself with your atom bomb) เขาเคยไปอ่านบทกวี Howl ที่ร้านหนังสือ ซิตี ไลต์ บุ๊กส์ ทำให้เจ้าของร้านถูกตำรวจจับข้อหาอนุญาตให้มีการแสดงอนาจาร

    แต่ภายหลัง กินสเบิร์กได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะคนเขียนกวีกระแสสำนึก (stream of consciousness) ซึ่งสะท้อนความรู้สึกคนยุคหนึ่งได้อย่างลุ่มลึก

    เมื่อเขาตาย ร้านหนังสือ ซิตี ไลต์ บุ๊กส์ จัดงานรำลึก มีการเปิดเทปเสียงอ่านบทกวีของเขาบนเวที
    บทกวีของกินสเบิร์กมีจังหวะคล้ายเพลง เวลาอ่านจะไม่หยุดหายใจจนกว่าจบประโยค

No rest                          ไม่มีการพักผ่อน
without love                  ที่ปราศจากรัก
no sleep                         ไม่มีการหลับ
without dreams              ที่ไม่มีฝัน
of love                            ถึงความรัก
be mad or chills              บ้าหรือหนาว
obsessed with angels      ถูกครอบงำโดยนางฟ้า
or machines                    หรือเครื่องจักร
the final wish                 ปรารถนาสุดท้าย
is love                            คือรัก

----------------------------------------------------------------------
                                       (ตอนหนึ่งจากบทกวี Song)


วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565

William S. Burroughs : วิภาส ศรีทอง

 

(ภาพจาก https://www.fanpop.com/clubs/william-s-burroughs/images/24346816/title/william-s-burroughs-photo

ส่วนบทความคัดลอกมาจากวารสาร link ซึ่งเป็นแผ่นพับและเจ้าของบทความคือ วิภาส ศรีทอง ซึ่งข้าพเจ้าที่เป็นเจ้าของบล็อกเอามาเผยแพร่โดยไม่ได้ขออนุญาต)


"นี่แน่ะ...คุณไม่จำเป็นต้องตายกับไอ้โลกบ้าๆ นี่หรอก คุณหายใจมันเข้าไปสิ กินมันเข้าไปสิ เสพมันเข้าไปสิ แล้วก็ยืนหยัดรับวันต่อไปเหมือนอย่างผม"

     ยากที่จะแยกตัวตนของ WSB ออกจากผลงานของเขา คงเหมือนๆ กับสิ่งที่ เฮมมิงเวย์ พยายามจะเป็นเมื่อสร้างตัวละครชื่อ เจกบานส์ ใน The Sun Also Rise แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้นตลอดกาล แต่ WSB กลับไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ งานของเขา คือกระจกสะท้อนตัวเขาเอง แต่มันเป็นกระจกที่บิดเบี้ยวเสียจนชวนคลื่นเหียน แม้กระนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าอเมริกันวันนี้ยอมรับนับถือเขา WSB เป็นนักเขียนอัจฉริยะหรือเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรมนุษย์ของอเมริกา นักวิชาการหรือนักวิจารณ์จำนวนไม่น้อยอาจมีท่าทีลังเลใจขึ้นมา เพราะไม่ได้อ่านจริงๆ จังๆ "อ้อใช่ นายเบอร์โรวห์ส" 

    โลกของ WSB หลากล้นด้วยเซ็กซ์ ยาเสพติด อาชญากรรมแผลงๆ ความบ้าคลั่ง การเมืองสกปรก หรือไม่ก็ความลุ่มหลง อย่างใดอย่างหนึ่ง เงิน รักร่วมเพศ ช่องทวารหนัก รวมไปถึงอำนาจ ความแปรปรวนทางอารมณ์ สภาพของสติสัมปชัญญะอันไร้ที่พึ่ง จักรกลและกายวิภาค ด้วยภาษาเกือๆ จะหยาบคายแต่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ภายใต้รูปแบบของงานคอลลาจ WSB มาจากครอบครัวที่มั่งคั้ง เรียนแพทย์แต่จบปริญญาตรีในคณะมานุษยวิทยาที่ฮาร์วาร์ด (เหมือนกับ J.G.Ballard ผู้ที่ได้รับอิทธิพลจาก WSB) เขาเป็นหนอนหนังสือแต่หมกมุ่นกับปืน เซ็กซ์ และโลกของอาชญากรรม เขามีแนวโน้มตั้งแต่วัยเด็กที่จะแหกกฎทุกกฎเท่าที่ทำได้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะหาที่ว่างสำหรับเขาในสังคมปกติของชนชั้นกลาง หลังจบมหาวิทยาลัย เขาก็ออกไปทดลองชีวิตทุกรูปแบบเหมือนปีศาจที่กระหายลมหายใจ เขาตรงไปนิวยอร์ก เข้าร่วมแก๊งอาชญากรรมใต้ดิน แล้วก็ติดเฮโรอีนอย่างหนัก ท่ามกลางบรรยากาศของศิลปะที่เหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิดโดยมีแรงขบเคลื่อนจากเซ็กซ์ เสรีภาพใหม่ และสภาพไร้สติจากยาเสพติด WSB เข้าร่วมกับกลุ่มบีตและพบกับ Joan V. Adam ภรรยาขี้ยาในอนาคต เขาแก่ที่สุดในกลุ่มบีต แต่ก็น่าประทับใจด้วยบุคลิกแปลกๆ อารมณ์ขันห่ามๆ อันเฉียบแหลมที่ชวนให้รู้สึกถูกคุกคามเหมือนเสียงรถบดถนน "เขาสูงหกฟุตหนึ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนที่เราคาดเดาความคิดได้ไม่ยาก เหมือนเสมียนสำนักงานขี้อาย แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครเข้าถึงเขาได้เลย" แจ็ก เคอรัวแอ็กเคยว่าเอาไว้

    ช่วงเวลานั้นเขาได้รับอิทธิพลจาก Brian Gysin จิตรกรเซอร์เรียลลิสต์กลุ่มแรก เขานำเทคนิคมาดัดแปลงใส่ในงาน รวมถึงงานทดลองเขียนแบบ Cut-Up (การนำคำต่างๆ มาผสมอย่างสุ่มๆ ตัวอย่างอันหนึ่งที่ดูจะใช้เทคนิคใกล้เคียงกันคือ งานที่ใช้ชื่อว่าจินตนาการสามบรรทัดของสุชาติ สวัสดิ์ศรี) โดยมีแนวคิดที่จะเสาะค้นความจริงที่ (อาจจะ) ซุกเร้นอยู่ ณ อีกด้านหนึ่งภายใต้เปลือกนอกของภาษา เทคนิคนี้ส่งแรงกระทบมาถึงงานกลุ่ม CyberPunk, Hypertext และ AvantPop ในปัจจุบัน
    แกนนำแต่ละคนในกลุ่มบีตกำลังเขียนงานอย่างจริงจัง แต่ WSB ซึ่งเลยวัยสามสิบห้าไปแล้ว ยังไม่ได้เขียนอะไรดีๆ ออกมาเลยนอกจากนวนิยายสิบสตางค์เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Junky ก่อนจะหลบไปทำสวนส้มและเสพยาไปวันๆ ที่เทกซัสกับภรรยาและสหายกลุ่มบีตอีกสองสามคน ไม่นานก็ถูกตำรวจยาเสพติดเฝ้ารังควานจนต้องย้ายไปเม็กซิโก ที่นั่นในงานปาร์ตี้ WSB บอกกับเพื่อนๆ ว่าได้เวลาแล้วสำหรับ William Tell Act ภรรยาของเขาซึ่งเมาเพียบพอกันวางแก้วเปล่าบนหัว WSB เล็งไปที่แก้วแต่พลาด Joan เสียชีวิตทันที
    WSB หลบไปอยู่แถวอเมริกาพักหนึ่ง เดินทางไปเรื่อยๆ เหมือนนักช้อปปิ้งทางอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ท้ายที่สุดเขาไปโผล่ที่แทนเจียร์ประเทศเล็กๆ ในทวีปแอฟริกาเหนือ ที่ซึ่งเปรียบเสมือนหลุมหลบภัยทางจิตวิญญาณของศิลปินและนักเขียนสมัยนั้น WSB เขียน Naked Lunch งานที่ดีที่สุดของเขาที่นั่น โดยความช่วยเหลือของ อัลเลน กินสเบิร์ก และ แจ็ก เคอรัวแอ็ก ก่อนที่จะถูกตีพิมพ์ครั้งแรกที่ปารีสปี 1959 และถูกแบนด้วยข้อหาว่าหยาบโลนจากหลายต่อหลายรัฐในอเมริกาในช่วงทศวรรษ 60 แต่ในที่สุด WSB ก็ชนะข้อกล่าวหาทั้งหมด เป็นการสิ้นสุดยุคแห่งการเซ็นเซอร์หนังสือในอเมริกันจวบจนปัจจุบัน
    Naked Lunch สร้างชื่อให้กับ WSB จากกลุ่มใต้ดินเล็กๆ ขจรขจายไปทั่วโดยเฉพาะยุโรป WSB ย้ายไปอยู่ลอนดอน และย้ายกลับมานิวยอร์กอีกครั้ง ก่อนจะใช้ชีวิตบั้นปลายกับงานด้านทัศนศิลป์ที่แคนซัสปี 1981
    นอกจากตัวงานของ WSB แล้ว ภาพลักษณ์ของเขายังส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรมป๊อป เช่นแวดวงดนตรีหลายต่อหลายวงตั้งชื่อตามหนังสือและชื่อตัวละครของเขา เคริต โคเบน นักร้องนักดนตรีชื่อดังจากวงเนอร์วานา เล่นกีตาร์ประกอบการอ่านบทกวีจากเสียงของเขา มีหนังสร้างจากหนังสือและอัตชีวประวัติของตัวเขา นอกจากนั้นสไตล์การเขียนของเขายังส่งอิทธิพลต่อกลุ่ม Post Post-Modern
    โลกของ WSB ใน Naked Lunch แจ็ก เคอรัวแอ็ก เป็นผู้ตั้งชื่อให้กับหนังสือเล่มนี้ (Naked Lunch หมายถึงเผยความจริงแท้) หลังจากได้อ่านต้นฉบับที่กระจัดกระจายในห้องพักราคาถูกในแทนเจียร์ เนื้อหาที่อาจสรุปหยาบๆ กล่าวถึงความทรงจำขาดตอน ไม่ปะติดปะต่อ และภาวะหลอนของคนเสี้ยนยา มันไม่ใช่การเดินทางทางกายภาพ แม้จะมีการเปลี่ยนฉากที่หลากหลายจากนิวยอร์ก สู่สวีเดน, ชิคาโก, เม็กซิโก, เวนิส และแทนเจียร์ หากเป็นการเคลื่อนเลื่อนไหลของกระแสสำนึกและไร้สำนึก

     WSB ได้สร้างโลกจำลองขึ้นโดยให้ชื่อว่าอินเตอร์โซน มีลักษณะคล้ายรวงผึ้งขนาดมหึมา ไม่ว่าใครจะเป็นผู้คน รัฐบาล เมืองต่างๆ ตกอยู่ภายใต้วัฒนธรรมบริโภคอย่างไม่บันยะบันยัง ทั้งเซ็กซ์ ยาเสพติด ความลุ่มหลงในโครงสร้างที่ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จจากรัฐบาล แต่ละพรรคการเมืองในอินเตอร์โซนมุ่งจะครองโลกโดยใช้กำลัง และควบคุมความคิดของพลเมืองด้วย ยาเสพติดและความลุ่มหลง ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสภาพผู้เสพไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เซ็กซ์ หรืออำนาจ ความเป็นมนุษย์ของผู้นั้นจะค่อยๆ ถดถอยลง กลับกลายเป็นสุนัขล่าเนื้อ สัตว์ประหลาดกินคน ตะขาบตัวเขื่อง แมลงประหลาดๆ ลิงชิมแปนซี ตัวละครบางตัวเมื่อร่วมเพศ บรรลุจุดสุดยอดจะกลายเป็นปูยักษ์ บางตัวเป็นมนุษย์ที่มีช่องทวารพูดได้และค่อยๆ ควบคุมร่างกายแทนสมองที่ฝ่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่มีตัวละครบางตัวเมื่อถูกแขวนคอจะหลั่งน้ำกามออกมา นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์แปลกๆ เหนือจริงอีกมากมาย (อาจทำให้นึกถึงคาฟคาหากไม่มีนัยให้ตีความ หรือมีลักษณะเหนือจริงที่ลื่นไหลบ่งบอกถึงสภาพสิ้นหวังไร้ทางออกอย่างเช่นมาร์เควช) ผ่านทางตัวละครเอกชื่อ William Lee ผู้ที่กำลังพยายามเลิกยาและเขียนหนังสือที่ชื่อ Naked Lunch เช่นกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำลายสิ่งชั่วร้ายในอินเตอร์โซน โดยการเขียนถึงมัน โครงเรื่องเป็นแบบง่ายๆ ความดีต่อสู้กับความชั่วเหมือนการ์ตูนฮีโร่ดาดๆ หากแต่ WSB ใช้ภาษาของสื่อหลากหลายสไตล์ เช่น งานโฆษณา นิยายกระจอก รายการทีวีน้ำเน่า หนังสือการ์ตูนสำหรับผู้ใหญ่ เข้่ามาผสมผสานกันโดยใช้เทคนิคที่หยิบยืมจากงานทัศนศิลป์ รวมถึงดนตรีแจ๊ซ มาตัดปะเป็นงานแบบคอลลาจด้วยการเขียนแบบกระแสสำนึก ผู้อ่านสามารถเริ่มต้นอ่านบทไหนก่อนก็ได้ (WSB ลำดับบทอย่างสุ่มๆ ด้วยการเลือกหยิบต้นฉบับที่วางอยู่เกลื่อนกับพื้นห้องพัก) เหมือนหนังที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจะออกจากโรงแล้วกลับเข้าไปดูใหม่ก็ได้ผลแทบจะไม่ต่างจากเดิม

    Naked Lunch เป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์เป็นงานทดลองทางรูปแบบ เป็นงานล้อเลียนไม่ใช่เสียดเย้ย แม้จะมีฉากชวนคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนมากมายเหมือนจงใจจะช็อกคนอ่าน ไม่ต่างจากหนังสยองขวัญเกรดบี แม้จะมีบางฉากที่ออกจะจำเจ หากแต่อารมณ์ขันอันแหลมคมทำให้พอจะประคับประคองไปได้ บางครั้งที่ผู้อ่านกำลังตกอยู่ในภวังค์ต่อเนื่องจากเรื่องราว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งไม่ใช่เพราะไปพบกับปรัชญาชีวิตอะไรเข้า หากเป็นเพราะฉากบางฉากทำให้รู้สึกราวกับถูกตีหัวหรือชวนให้อาเจียน WSB ไม่ได้เขียนเพื่อให้เราซาบซึ้ง แต่เขียนเพื่อให้เราเข้าใกล้ประสบการณ์มากที่สุดด้วยอาการกระสับกระส่ายจนดูราวกับขาดจุดมุ่งหมาย แม้เขาจะเขียนเรื่องเหนือจริงจนคล้ายกับพยายามหลีกหนีความจริง ทว่าเขาก็เป็นศิลปินที่เชื่อมโยงความภักดีเข้ากับโลก และซื่อสัตย์ต่อความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกนอกแม้มันจะดูไม่งามเท่าใดนักก็ตาม แต่เขาก็วิ่งฝ่ากำแพงบางอย่างออกไปได้ ขณะที่โลกส่วนใหญ่ในอเมริกาทุกวันนี้ (แม้แต่ในบ้านเรา) วนเวียนอยู่กับสภาพโหยหาอดีต (วรรณกรรมเพื่อชีวิต) หรือไม่ก็เป็นวรรณกรรมชานเมือง (วรรณกรรมมารยาทสังคมก็เรียก) วรรณกรรมฟูมฟายของชนชั้นกลางที่คร่ำเคร่งอยู่กับการหาตัวตนที่กำลังจมหายลงไปทุกที WSB ได้ฝ่าออกไป ชีวิตในปลายศตวรรษที่ 20 เข้าข้างเขา เขาไม่ได้ต่อสู้แต่โดยลำพังหากยังได้โลดเต้นอย่างสนุกสนาน ดังที่เขามักจะกล่าวเสมอว่า นี่แน่ะ...คุณไม่จำเป็นต้องตายกับไอ้โลกบ้าๆ นี่หรอก หายใจมันเข้าไปสิ กินมันเข้าไปสิ เสพมันเข้าไปสิ แล้วก็ยืนหยัดรับวันต่อไปเหมือนอย่างผม
    
    


 






วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

10 คำในความทรงจำของผมถึง Beat Generation : สุภาพ พิมพ์ชน



(บทความนี้เป็นข้อเขียนของ สุภาพ พิมพ์ชน ที่ตีพิมพ์ในแผ่นพับที่ชื่อว่า link และเจ้าของบล็อกเอามาเผยแพร่โดยไม่ได้ขออนุญาต)


    1. On The Road แจ็ก เคอรัวแอ็ก เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่รู้สึกแปลกแยกกับรูปแบบการใช้ชีวิตในสังคมทุนนิยม เขาออกจากบ้าน ร่อนเร่พเนจรไปตามท้องถนนแบบพวกโบฮีเมียนเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต ในปี 1952 เขาใช้เวลาราว 3 สัปดาห์ บันทึกประสบการณ์ของตัวเองเป็นนวนิยายเรื่อง On The Road ลงบนม้วนกระดาษโทรพิมพ์ที่ยาวต่อเนื่องกัน 120 ฟุต ต่อมาหนังสือเล่มนี้กลายเป็นเสมือนคัมภีร์ของคนหนุ่มสาวในยุค 60 และเป็นต้นแบบของนักฝันข้างถนนทั่วโลก 

    2. Drug ยาเสพติดหรือของมึนเมาทุกชนิดเป็นส่วนหนึ่งในวิถีของหนุ่มสาวที่ทวนกระแสสังคม นักเขียนในกลุ่มบีต เช่น แจ็ก เคอรัวแอ็ก, วิลเลียม เบอร์โรวห์ , นีล แคสซาดี ทำงานโดยใช้ยาเสพติดเป็นแรงบันดาลใจ บางคนเสียชีวิตก่อนถึงวัยอันควร

    3. Jazz อิทธิพลของเพลงแจ๊สมีผลต่อสไตล์การเขียนของนักเขียนในกลุ่มบีต ในแง่ของการอิมโพรไวส์ หรือการทำงานโดยไม่มีการตระเตรียมมาก่อน ขณะเดียวกันนักดนตรีแจ๊สอย่าง ชาลี ปาร์กเกอร์ ก็ได้มีอิทธิพลทางความคิดจากพวกบีต โดยเฉพาะรูปแบบการใช้ชีวิต และการใช้ยาเสพติดเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน

    4. Bisexual เข่นเดียวกับนักเขียนกลุ่มนักปรัชญาในยุคกรีก หรือรักเขียนกลุ่ม Bloomsbury ของอังกฤษ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของนักเขียนในกลุ่มบีต โดยเฉพาะ อัลเลน กินสเบิร์ก กับ แคสซาดี และแจ็ก เคอรัวแอ็ก ทำให้พวกเขามีความสัมพันธ์กันในลักษณะรักร่วมเพศด้วย

    5. Hippie เมื่อ แจ็ก เคอรัวแอ็ก และนักเขียนในกลุ่มบีต ได้รับการยกย่องให้เป็นศาสดาของคนหนุ่มสาวในยุค 60 สมญาที่มีคนวิจารณ์พวกเขาว่า Hipster บ้าง Hippie homer บ้าง ก็ได้กลายมาเป็นคำว่า Hippie เพื่อใช้เรียกหนุ่มสาวเหล่านี้ 

    6. San Francisco ในยุคซานฟรานเป็นศูนย์กลางของพวกบีต ร้านขายหนังสือ City Lights ของ ลอเรนซ์ เฟอร์ลิงเกตติ นักเขียนหนึ่งในกลุ่มนี้กลายเป็นแหล่งชุมนุมของพวกก้าวหน้าในยlาวพากันเดินทางหลั่งไหลมาที่ซานฟรานซิสโกไม่ขาดสายโดยมีวิถีชีวิตของพวกบีตเป็นต้นแบบ ปี 1965 คนหนุ่มสาวที่รวมตัวกันอยู่ในไฮท์เอชเบอรี่ เริ่มเรียกตัวเองว่า ฮิปปี้ หรือบุปผาชน ในฤดูร้อนของปี 1967 สื่อมวลชนต่างพากันกล่าวถึงวัฒนธรรมใหม่ของคนหนุ่มสาวแห่งซานฟรานซิสโกกันอย่างครึกโครม 

    7. Howl พวกฮิปปี้เริ่มรวมตัวกันอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือร่วมคัดค้านสงครามเวียดนาม บทกวี Howl ของ อัลเลน กินสเบิร์ก กลายเป็นเสียงแห่งการต่อต้านสถาบันและอำนาจรัฐที่ทรงพลังที่สุด

    8. Beatles เพื่อนนักเรียนของ จอห์น เลนนอน เป็นผู้ตั้งชื่อวงดนตรีให้เขาว่า The Beatles โดยได้ไอเดียการใข้ชื่อแมลงมาจากวงดนตรีคณะ The Crickets ภายหลังจอห์นเปลี่ยนตัวอักษรจาก The Beetles เป็น Beatles เพื่อให้สอดคล้องกับดนตรีประเภท Beat ที่กำลังเป็นที่นิยมในประเทศอังกฤษขณะนั้น ต่อมาเมื่อซานฟรานซิสโกกลายเป็นศูนย์กลางของคนหนุ่มสาว พวกเดอะบีทเทิลส์ก็ได้ย้ายจากลิเวอร์พูลมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกระแสวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกในขณะนั้นด้วย โดยที่จอห์นพยายามอธิบายว่าชื่อ Beatles นั้นมีความหมายในเชิงคารวะต่อพวกบีตด้วย 

    9. Buddhism นีกเขียนในกลุ่มบีตส่วนหนึ่งกันมานับถือศาสนาพุทธ โดยเริ่มสนใจจากงานเขียนของชาวตะวันตก เช่น สิทธารถะ ของ เฮอร์มาน เฮสเส จากนั้นก็เป็นนิกายเซน พุทธศาสนานิกายมหายาน สายทิเบต พุทธศาสนานิกายเถรวาท

    10. อังคาร กัลยาณพงศ์ อัลเลน กินสเบิร์ก เคยมาเมืองไทย และเป็นเพื่อนกับ ส.ศิวลักษณ์ เขาชอบบทกวีของอังคาร กัลยาณพงศ์ และเคยแปลบทกวีของอังคารเป็นภาษาอังกฤษ










 





วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ก่อนฮิปปี้ ก่อนยับปี้...นี่คือ เดอะ บีต เจเนอเรชั่น : จิตติ พัวสุทธิ

 


(ก่อนฮิปปี้ ก่อนยัปปี้...นี่คือ เดอะ บีต เจเนอเรชั่น โดย จิตติ พัวสุทธิ ตีพิมพ์ในแผ่นพับ link ภาพประกอบบทความจาก https://scalar.usc.edu/works/counterculture-in-the-1960s/media/beat-generation-picture

ส่วนเนื้อหาในบทความผู้เขียนอ้างอิงจาก www.rooknet.com, www. litkicks.com 
และเจ้าของบล็อกเอามาเผยแพร่โดยไม่ได้ขออนุญาต)

สิ้นเสียงการอ่านบทกวีคำสุดท้าย ซิกส์ แกลเลอรี (Six Gallery) ซานฟรานซิสโก (San Francisco) กลุ่มบีตได้เปิดตำนานบทหนึ่งของวงการวรรณกรรมสู่สายตาของชาวโลก
    นับตั้งแต่งานเขียนและการเคลื่อนไหวของ แจ็ก เคอรัวแอ็ก และผองเพื่อน จะไม่ได้เป็นแค่ความพลุ่งพล่านของคนหนุ่ม หากยังสั่นสะเทือน ความฝันแบบอเมริกัน (American Dream) ของผู้คนทั่วไป
    คำว่า บีต เจเนอเรชั่น ปรากฏครั้งแรกในบทความ This is The Beat Generation ในปี 1948 จากการพูดคุยของแจ็ก เคอรัวแอ็ก กับ จอห์น เชลลอน โฮล์มส (John Clellon Holms) คอลัมนัสต์หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) ผู้เดินทางมาหาข้อมูลเกี่ยวกับคนหนุ่มสาวอเมริกันยุคนั้น เพียงแต่ความหมายดั้งเดิมของคำว่า บีต ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่า เลวร้าย, หายนะ, อ่อนเปลี้ย หากแจ็กให้คำจำกัดความเป็นตัวของเขาและเพื่อนๆ หมายถึงคนหนุ่มอเมริกันผู้เริงร่าระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่อาจฝากตัวในเครื่องแบบรัดกุมของทหารหาญหรือสูทสะอาดหมดจดอย่างนักธุรกิจ พวกเขาเป็นบีต เพราะไม่เชื่อในงานที่ตรงไปตรงมา กลับเลือกจะตะเกียกตะกายมีชีวิตรอดโดยการอาศัยอพาร์ตเมนต์โสโครกแทน ในบางจังหวะของชะตากรรมต้องประกอบอาชญากรรมเพียงเพื่อเงินเล็กน้อยหรืออาหารประทังความหิว บ้างก็เตร็ดเตร่พเนจรไปกับการโบกรถโดยไม่อาจฝังกาย ณ แห่งหนใดโดยปราศจากความเบื่อหน่าย วลีคำว่า บีต เจเนอเรชัน คือเงาสะท้อนจอบ เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ที่เคยเรียกคนยุคเขา (คนหนุ่มยุคสงครามโลกครั้งที่ 1) ว่าเป็น ผู้คนที่สาบสูญ (Lost Generation) โดยหยิบยืมจากปากของ เกอร์ทรูด สไตน์ (Gertrude Stein)
    แกนหลักของกลุ่มบีต ประกอบด้วย แจ็ก เคอรัวแอ็ก (Jack Kerouac) , นีล แคสซาดี (Neal Cassady), วิลเลียม เอส. เบอร์โรวห์ส (William S. Burroughs) ที่คบหากันอยู่ ในละแวกมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) และย่านอัพทาวน์ (Uptown) แมนฮัตตัน (Manhattan) ในกลางทศวรรษที่ 40 นอกจากนั้นยังรวมถึง เกรเกอรี คอร์โซ (Gregory Corso) จากกรีนวิช วิลเลจ (Greenwich Village) และ เฮอร์เบิร์ต ฮักเค (Herbert Hunckel) จากย่านไทมส์สแควร์ (Times Square) เมื่อพวกเขาโยกย้ายไปซานฟรานซิสโก กลุ่มได้ขยายตัวออกไปโดยมีสมาชิกเข้ามาเพิ่มเติมอย่าง แกรี สไนเดอร์ (Gary Snyder), ลอว์เรนซ์ เฟอร์ลิงเกตตี (Lawrence Ferlinghetti) , ไมเคิล แมกคลูร์ (Michael McClure), ฟิลิป วอเลน (Philip Whalen) และ ลิว เวลช์ (Lew Weich)
    หลังจากคลื่นลูกแรกมาถึงฝั่ง คลื่นลูกที่สองได้สาดซีดอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง สมาชิกรุ่นต่อมาของกลุ่มบีตได้ขยายตัวเพิ่มเติมต่อไปอีก อาทิ บ๊อบ คูฟแมน (Bob Kaufman), ไดแอน ดีพรีมา (Diane DiPrima) , เอ็ด แซนเดอร์ส (Ed Sanders) เป็นต้น จวบจนทุกวันนี้กลุ่มบีตยังคงสืบสานตำนานการต่อต้านความฝันแบบอเมริกันอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย





วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

“ฤาษีในป่าคอนกรีท”

(งานเขียนชิ้นนี้เป็นของ รงค์ วงษ์สวรรค์ และเคยถูกตีพิมพ์ในนิตยสารThe Quiet Storm ไม่ทราบฉบับ แต่ปีที่แปะไว้ตรง มุมขวาหนังสือคือ 1991)









THE WRITER’S SECRET
                รงค์ วงษ์สวรรค์ร่อนเร่จากบางลำพู, กรุงเทพฯ ถึง แซน แฟรนซิสโกใน ค.ศ. 1963 เวลานั้นเป็นปลายยุค Beat Generation ของผู้ครองเพศบี๊ทนิค(beatnik)  ผู้เป็นปฎิกิริยากับความมั่งคั่งในระบบสังคมอเมริกัน  โดยมรรคผลแห่งปล่องควันโรงงาน(อุตสาหกรรม)
บี๊ทนิคส์  ผู้พยายามหลีกเร้นความโหดร้ายของลัทธิบูชาเงินลงใต้ผิวโลก
                นั้นเป็นข้อกล่าวหาเชิงประณามหยามเหยียดว่าพวกเขาเป็นไส้เดือนชอนไชในเปือกตม(ปัญญา) หรือเป็นหนูสกปรกในรูดิน    แม้ความจริงอันขมขื่นบางด้านบันทึกไว้ว่า บี๊ทนิคส์กับความแร้นแค้นโดยไม่ใช่เจตนาของพวกเขา  จำนวนไม่น้อยอาศัยในรูท่อ(subterranean)แทนบ้าน นั้นเป็นความน่าอับอายในสังคมอันเคร่งครัดกับจารีตเท่ากับฟุ้งเฟ้อในวัตถุ
                การวางเฉยกับกรอบขนบประเพณี, การสำรวมสติปัญญาโดยควบคุมความเร่าร้อนไว้ภายในจิตใจ, และการปฏิเสธรูปแบบชีวิตเห่อเหิมทะเยอทะยานไร้ขอบเขต, นั้นสานต่อความคิดแบบปัจเจก(individualism)ค่อนข้างเข้มข้น  แต่โดยกลับกันก็เป็นสาเหตุแห่งการอ่อนแอลงของขบวนการ  แล้วถึงกับล่มสลายในเวลาต่อมาไม่นาน
                On the Road นวนิยายของ แจ็ค เคอรูแว็ค ยกย่องกันว่าเป็น “ไบเบิ้ลแห่งบี๊ทนิคส์” อ่านกันอย่างกว้างขวางเพื่อบดเอื้องความคิดในควันกัญชา(บนถนนของความเป็นหนุ่ม  และผลงานสั้นยาวหลายเรื่องของ รงค์ วงษ์สวรรค์ แน่นอน—ว่าได้รับอิทธิพลเศษเสี้ยวจากนวนิยายเล่มนั้น)
                แต่ถึงเวลาปลายยุคบี๊ทนิคส์  ออน เธอะ โรด  ถูกเชิญลงจากพานดอกหญ้าแทนที่ด้วยผลงานของโสดาบันทิม(ทิมอธี่ เลียรี่)  อแลน ดับลิว.วิทท์ส์(สัพพัญญู)  แอลเล็น กินสเบิร์ก(กวีนามธรรม)  นอร์แมน เมเลอร์(ผู้เขียนบทความ Advertisement for Myself) ฯลฯ  และนั้นหมายถึงการเริ่มต้นขบวนการฮิปปี้ส์(hippies)  ในทศวรรษเดียวกัน
                ในท่ามกลางระเบงดนตรีและคำภาวนา
                พิณซีตาร์ของ รวี แชงการ์(โยคีคอนกรีท)
                บ๊อบ ไดแล็น(Desolation Row)
                เธอะ บีเทิลส์(A Day in a Life of,)
                เธอ โรลลิ่งก์ สโทนส์(ฯลฯ)
                ฯลฯ หลากหลายกระแสทำนองของเพลงที่สำรวมเรียกกันว่า dopesong
                ความรักชีวิตและโลก
                ดอกไม้และคน(fiower generation)
                สันโดษกับคาถาบัญญัติหกคำ turn on, tune in, drop out,
                รงค์ วงษ์สวรรค์เขียน ฤาษีในป่าคอนกรีท ในอากาศธาตุนั้น
                เวลาล่วงเลยมาถึง พ.ศ. 2533 น่าแปลก, น่าขอบใจ, น่าตื่นเต้น, น่ายินดีกับการอ่านผ่านมาในหลายยุคแปรผันถึงยุคโลหะหนัก(heavy metal) ของ ขุนทอง อสุนี ณ อยุธยา และ อารี แท่นคำ  อดีตและปัจจุบันบรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้  และในคำรามเวทมนตร์แห่ง Yuppies ผู้บ้าคลั่งเงินแต่ดูถูกเงิน
                บี๊ทนิคส์, ฮิปปี้ส์, ยัปปี้ส์
                เขาเป็นใครแตกต่างกันอย่างไร?  คงเป็นคำถามของเวลานาที
                1 ในความหมายอันพ้องพานเขาทั้งสามเป็นผู้เน้นถึงรากเหง้าของอารมณ์เหนือเหตุผล และเป็น romanticism
               

                รงค์ วงษ์สวรรค์
                TUNE-IN gardens 1990





               

                

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จากหนังสือรวมเรื่องสั้น “ข้าวแค้น” ของ
วัฒน์ วรรลยางกูร
ฉบับตีพิมพ์เมื่อ พฤษภาคม ๒๕๒๒ โดย กลุ่มกุลา

คำนำ
            ในปี ๒๕๑๙ บรรณโลกของกรุงเทพมหานครได้มีโอกาสจัดพิมพ์ “ตำบลช่อมะกอก” ของวัฒน์ วรรยางค์กูร  นิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้เขียนนามนี้  ได้เป็นที่สนใจและได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านอย่างกว้างขวางและคึกคักอย่างยิ่ง  แม้ว่า  ในคำปรารภของผู้เขียนเองได้กล่าวไว้ว่า  งานเขียนขนาดยาวนี้เป็นเรื่องแรกและยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องก็ตาม  แต่ในทัศนะของผู้เขียนรุ่นก่อนๆ ก็ได้ให้ความสนใจและเอ็นดูต่อนักเขียนผู้เยาว์ผู้นี้อย่างมาก  วัฒน์ วรรยางค์กูร มีท่วงทำนองการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง  คือการใช้ภาษาที่ง่ายๆ และก็ชวนติดตามอย่างเร่งเร้าเสมอ  รวมทั้งเสนอเรื่องราวที่สัมผัสแนบแน่นกับชีวิตการต่อสู้  และขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีของประชาชน
                อนาคตของวัฒน์ทางด้านวรรณกรรรมจะแล่นโลดไปไกลอีกมากทีเดียว  เสียดายอย่างยิ่งที่เขาได้เขียนเรื่องไว้ไม่มากนักในระยะ ๑-๒ ปีก่อนกรณีสังหารโหด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  สังคมอันอัปลักษณ์เช่นนี้  ไม่ได้เป็นเวทีชีวิตที่เขาสามารถร่ายหรือกลั่นกรองเอาความรู้สึกและข้อมูลออกมาเป็นวรรณกรรมอย่างสะดวกและยืนยาว  วัฒน์จึงได้ตัดสินใจละทิ้งเวทีนี้ไปสู่ผืนแผ่นดินไทยที่ไกลออกไป  และที่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่เขาในการจะรจนาวรรณกรรมเพื่อประชาชนต่อไป  แต่เขากลับได้รับความอบอุ่นและโอบอุ้มจากชีวิตความเป็นจริงที่ทุกข์ยากและเต็มไปด้วยภาพของการต่อสู้กับธรรมชาติและกับคนด้วยกันเองที่เหยียดหยามคุณค่าความเป็นคน  ดังนั้นเราจึงยังได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของเขาอีก
                เราได้รวบรวมงานเขียนของวัฒน์  ซึ่งปรากฏหลังจากที่เขาได้ตัดสินใจไปใช้ชีวิตอีกแห่งหนึ่ง  งานเขียนที่เราได้รวบรวมขึ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ  เป็นงานเขียนประเภทเรื่องสั้น ๑๑ เรื่อง  และการบันทึกเกี่ยวกับทัศนะของผู้เขียนในเรื่องการประพันธ์  เรื่องสั้นทั้ง ๑๑ เรื่องนี้  แต่ละเรื่องจะสะท้อนแง่มุมที่ต่างกันออกไปทุกเรื่องและชัดเจนในเนื้อหามากขึ้นกว่าแต่ก่อน  แต่ยังคงรัก(ษาเอกลักษณ์ของตนเองในการเสนอปัญหาและใช้ภาษาที่ง่ายๆ และเร้าใจผู้อ่านเช่นเดิม
                เราไม่มีอะไรจะกล่าวมากมายนัก  เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านลิ้มรสวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ดีเด่นของวัฒน์โดยเร็วที่สุด  แต่กระนั้น  งานวรรณกรรมก็ยังคงเป็นแนวรบด้านหนึ่งของการต่อสู้เพื่อสิ่งใหม่ที่งดงามกว่าและมีคุณค่ายิ่งกว่า   และแนวรบด้านนี้ก็ไดมีคนมาแบกรับมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นศรีบูรพา, บรรจง บรรเจิดศิลป์, อิศรา อมันตกุลหรือจิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ  และแนวรบนี้ก็ได้เสียดแทงตีความเจ็บปวดแก่ผู้ปกครองที่เอาเปรียบคนจนอย่างได้ผลมาแล้ว  วันนี้เราได้พบกับวัฒน์ วรรยางค์กูร นักเขียนหนุ่มที่มีความศรัทธาและความสามารถที่ดีเด่น  แต่เราก็ปรารถนาจะได้พบบุคคลเช่นวัฒน์อีกหลายๆ คน  จากผู้อ่านนี่แหละ  ท่านล่ะได้ตัดสินใจจะมาเข้าร่วมกับบันทึกประวัติศาสตร์บทใหม่แก่คนไทยแล้วหรือยัง?
                                                                                                                                                          ด้วยความคารวะจากเรา
                                                                                                                                                          กลุ่มกุลา

ภาคผนวก

 จากบันทึกของ “นักเขียนคนหนึ่ง”
หมายเหตุ : บันทึกชิ้นนี้ประกอบด้วยทัศนะของผู้เขียนในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานเขียน  นับตั้งแต่ปัญหาทำงานเพื่อใคร, การหาวัตถุดิบ, เข็มทิศชี้นำในการเขียน, ปัญหารูปแบบกับเนื้อหา, การเตรียมพร้อมในการทำงาน, การใช้ชีวิตของนักเขียน และปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับคนเขียน  อันเป็นทัศนะอีกแง่หนึ่งของคนเขียนหนังสือร่วมสมัยเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการค้นคว้าทางด้านวรรณกรรม

ปัญหาพื้นฐานคือทำงานเพื่อใคร

                นักทฤษฎีทางศิลปะวรรณคดีหลายคนสรุปไว้ว่าปัญหาสำคัญที่สุดของศิลปินนักเขียนคือ ปัญหาเพื่อใคร? ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง  และเห็นด้วยอย่างยิ่งต้อความเห็นที่ว่านักเขียนหรือศิลปินควรมีสำนึกว่าตนเองทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน  ดังที่ศรีนาครเขียนไว้ว่า  “ศิลปะทั้งผองต้องเกื้อเพื่อชีวิต   ของมวลมิตรผู้ใช้แรงงานทุกแห่งหน  ใช่เพื่อศิลปะอย่างที่นับสัปดน  ใช้เพื่อตนศิลปินชีวินเดียว”  ในสภาวะที่เป็นจริงของสังคมไทยเบื้องหน้านี้คือ  รับใช้กรรมกรชาวนาอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในการต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีด  รับใช้ประชาชาติไทยในการต่อสู้กับอิทธิพลของมหาอำนาจผู้รุกราน  รับใช้ผู้รักสิทธิเสรีภาพในการต่อสู้คัดค้านเผด็จการฟัสซิสต์  จิตสำนึกเช่นนี้เกิดขึ้นได้ท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริง
                แน่นอนว่า  ย่อมแตกต่างจากเป้าหมายของการทำงานอีกแบบหนึ่งคือ  ๑. เกียรติ  สร้างผลงานเพียงเพื่อใช้งานเป็นบันไดก้าวไปสู่เกียรติยศที่คับแคบเฉพาะตน  หรือ ๒. เพื่อเงินตรา  ยอมให้อำนาจเงินกำหนดความคิดทุกสิ่งทุกอย่าง
                ทุกวันนี้มีนักเขียนไม่ว่าจะเป็นรุ่นอาวุโสหรือรุ่นใหม่ๆ ได้มองเห็นและเข้าใจได้ว่า  นักเขียนจะต้องทอดตัวเข้าไปสร้างผลงานรับใช้ประชาชน
                เราจะมามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตนอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อกรรมกรชาวนาส่วนใหญ่ของประเทศกำลังอดอยากปากหมอง  ทุกข์ยากแสนสาหัส
                เราจะมามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตนอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อเสือร้ายและหมาป่า-มหาอำนาจผู้รุกรานกำลังแย่งขย้ำเอกราชและความเป็นไทของประชาชาติไทย
            เราจะมามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวอยู่ได้อย่างไร  ในเมื่อบ้านเมืองเราเป็นค่ายกักกันและขุมนรกอันมืดมน  โดยฝีมือของเผด็จการฟัสซิสต์
                การจะสร้างสรรค์ผลงานรับใช้ประชาชนได้ดีหรือไม่  เป้าหมายการทำงานเป็นพื้นฐานสำคัญ  ถ้ามีเป้าหมายเพื่อส่วนตัว  ย่อมไม่อาจทำงานเพื่อส่วนรวม  เพราะมันไปด้วยกันไม่ได้  และจะเสแส้รงก็ย่อมไม่ได้  งานเขียนที่ดีไม่อาจเสแสร้งเขียนขึ้นมาได้  น้ำตาปลอมของนางเอกหนังไทยบางเรื่องไม่อาจทำให้คนดูสะเทือนใจได้อย่างแท้จริง  ไม่อาจเสแส้รง  หากต้องถอดออกมาจากชีวิตจิตวิญญาณแท้จริงทุกตัวอักษร  ทุกบรรทัดย่อมสะท้อนจุดมุ่งหมายของผู้เขียน
                ทั้งในอดีตและปัจจุบัน   ได้มีนักขเยีนของประชาชนก้าวไปบนเส้นทางเกียรติยศแห่งการรับใช้ประชาชนภายใต้สภาพที่ยากลำบากคือ  อยู่ใต้เงาปืนของเผด็จการฟัสซิสต์  หลายคนเสียสละเกียรติยศจอมปลอม  เสียสละช่องทางแห่งการกอบโกย  มาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อประชาชน  บางคนไดพิสูจน์ให้เห็นว่า  เขาไม่เสียดายแม้จะเสียสละชีวิตอันมีค่า(มีค่าเพราะเป็นชีวิตของคนที่ทำงานเพื่อส่วนรวม)  สร้างแบบอย่างอันสูงส่งแก่นักเขียนรุ่นหลังและมวลชนนักต่อสู้
                ทุกวันนี้อุดมการณ์ของนักเขียนเพื่อประชาชนนับวันแข็งกล้า  แผ่ขยาย  ผลงานสร้างสรรค์นับวันมีพลัง  ไม่ว่าจะมีความยากลำบากอย่างไร  สามารถยืนหยัดสร้างผลงานได้ถึงที่สุด  การุดหน้าไปอย่างย่อท้อ
                มีบทกวีบทหนึ่งที่สะท้อนอุดมการณ์เช่นนี้อย่างลึกซึ้งว่า
                            เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
            สักพันชาติจะสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
            แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
            จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน

  นักเขียนต้องกล้า

                ชีวิตการต่อสู้ของประชาชนมีเรื่องราวอยู่มากมาย  เป็นเสมือนวัตถุดิบของโรงงานสมองและปากกา  เป็นต้น  ธารของศิลปะวรรณคดีอันอุดมสมบูรณ์  เมื่อต้องการวัตถุดิบ  ต้องการสร้างสรรค์ศิลปวรรณคดีก็ต้องกล้าบุกเข้าไปให้ถึงแหล่งวัตถุดิบ  ให้ถึงต้นธารของมัน  เมื่อนักเขียนจะไปสัมผัสชีวิตของประชาชน  ก็ต้องใช้ความกล้าระดับหนึ่ง  หรือเดิมทีบางคนมีเงื่อนไขในการสัมผัสสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ  แต่พอตั้งใจจะสัมผัสขึ้นมา  ก็ต้องรวบรวมความกล้าเช่นกัน  หรือแม้แต่การจะนั่งรถผ่านๆ มองคนจนด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ก็ต้องใช้ความกล้าอีกเหมือนกัน  ที่พูดเช่นนี้เพราะบางคนไม่กล้าแม้แต่จะเห็นใจคนยากคนจน(เห็นใจจริงๆ ไม่ใช่หลอกๆ)  เหลียวไปเห็นชาวนาแว่นหนึ่งก็สรุปทันทีว่า “ชาวนาขี้เกียจ” อะไรทำนองนี้  เขาไม่กล้าเพราะมันขัดผลประโยชน์ของเขา
                ยิ่งถ้านักเขียนตัดสินใจจะใช้ปากกาของตนเป็นส่วนหนึ่งแห่งการต่อสู้ของประชาชน  ก็ยิ่งต้องใช้ความกล้ายิ่งขึ้นอีก  กล้าจะท้าทายอิทธิพลของมหาอำนาจผู้รุกราน  กล้าท้าทายอำนาจของเผด็จการฟัสซิสต์  กล้ากบฏต่อความสะดวกสบายที่มีอยู่เดิมไปสู่สภาพใหม่ที่ยากลำบากกว่าเก่าเพื่อเข้าถึงต้นธารของศิลปวรรณคดี  เพื่อจะได้ทำงานสร้างสรรค์อย่างมีชีวิตชีวา  ปลุกผู้ถูกกดขี่ให้ลุกขึ้นมาพบแสงแห่งสัจจะ  เหล่านี้เป็นความกล้าที่ประชาชนต้องการ
                การหมกตัวเป็นกวีราชสำนัก  ไม่ยอมรับรู้โลกกว้าง  มีแต่สายตาจะสั้น   ความคิดจะแคบลง  ไหนเลยจะสร้างผลงานรับใช้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้  มีแต่ต้องกล้าบุกกล้าผจญ  กวีสมัยก่อนเขียนเป็นฉันท์ไว้ว่า  “จงจรเที่ยว  เที่ยวบทไป  พงพนไพร  ไศลลำเนา”  คือส่งเสริมให้ท่องเที่ยวไปพบสิ่งใหม่  และยังมีบทกวีของต่างประเทศว่า  “อินทรีโผบินไปในนภา  มัจฉาแหวกว่ายกลางสายชล”  คือส่งเสริมให้ไปฝ่าคลื่นลม  หากเรามีเป้าหมายว่าจะทำงานรับใช้ประชาชน  การออกไปฝ่าคลื่นลมย่อมหมายถึงไปพบบทเรียนแห่งการต่อสู้ในชีวิตของประชาชน  ไม่ใช่ผจญภัยเพียงเพื่อพิสูจน์ความเป็น “แมน” ของข้าอย่าง “สิงห์เท็กซัส”
                และเมื่อมั่นใจว่าต้องทำงานเพื่อประชาชนไปตลอดชีวิต  ก็ต้องกล้าบุกกล้าผจญตลอดชีวิตเช่นกัน  ส่วนรูปธรรมการทำเช่นนี้ก็ต้องแล้วแต่สภาพความเป็นจริงของแต่ละบุคคล
                การกล้าศึกษาสิ่งใหม่ๆ  กล้าสัมผัสแนวคิดที่ขัดแย้งกับความคิดที่เรายึดมั่นอยู่เดิม  กล้าบุกกล้าผจญไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอเป็นเงื่อนไขช่วยให้หูตาเรากว้างไกล  ความคิดพัฒนาสดชื่นอยู่ไม่ขาด  ความคิดเก่าสิ้นอายุไป  ความคิดใหม่เกิดขึ้นมา  มีแต่ต้องอยู่ท่ามกลางความเคลื่อนไหว  จึงจะมีการพัฒนา
                การรับรู้  ทำความเข้าใจชีวิตที่เป็นจริง  บางด้านบางเรื่องต้องใช้เวลาสะสมยาวนานพอสมควร  มิใช่จะสุกงอมเอามาเขียนได้ทันที  ในการเผชิญคลื่นลมมีทั้งเรื่องราวที่เขียนออกมาเป็นตักอักษรบนกระดาษได้ทันที  และที่เขียนไว้ในใจ

มีเข็มทิศในการทำงาน  ประสานทฤษฎีกับรูปธรรม

                เมื่อเราทบทวนอ่านไดอารี่เก่าๆ ก็มักรู้สึกเหนียมอาย  และได้แต่คิดว่า  ทำไมเราอ่อนหัดน่าขันเช่นนั้น  เพื่อนนักเขียนบางคนนั่งฉีกผลงานเก่าๆ ของตนเองด้วยความรู้สึกว่า “ทำไมต้องเสียเวลานั่งเขียนเรื่องห่วยๆพรรค์นั้น”  แต่ว่ามันก็คือความเป็นจริง  ถ้าไม่มีวันนั้น   ก็คงไม่มีวันนี้  มีอดีตจึงมีปัจจุบัน  ต่ออดีตเรามีบทเรียน  แต่อนาคตเราก็ยังอ่อนหัดอยู่ดี  เพราะโลกเปลี่ยนไป  สิ่งใหม่ที่เรายังไม่รู้จักเกิดขึ้นเสมอ  แต่เราก็พอจะลดความสะเปะสะปะในอนาคตลงได้  ถ้าเรามี “เข็มทิศ” ชี้ทางเดิน
                ผมเองก็เช่นกัน  เคยสะเปะสะปะเหมือนคนตาฟาง  เขียนไปตามที่ตัวเองนั่งคิดเอาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นมันน่าจะเป็นอย่างนี้  อาจจะเรียกได้ว่า “ชี้นำการเขียนด้วยอัตวิสัย”  ซึ่งมีทั้งเข้าท่าและไม่เข้าท่า  แต่ส่วนมากจะไม่เข้าท่า  ตัวละครที่เราเขียนถึงแต่ก่อนจึงไม่ค่อยเหมือนคนจริงเท่าไรนัก  แต่เป็นหุ่นที่เราปั้นขึ้นมา  ตัวละครที่เป็นชาวนา  ไม่ได้พูดคิดหรือกระทำอย่างชาวนาจริงๆ  แต่กลับไปเหมือนคนเขียนก็มี  และเมื่อค้นคว้าลงไปอีกทีก็พบว่าตัวเองขาดการนำทฤษฎีทางสังคมการเมืองและศิลปวรรณคดีมาใช้
                ในความเป็นจริง  ภารกิจทางวรรณกรรมจักต้องสัมพันธ์อย่างสนิทแน่นแฟ้นกับภารกิจด้านอื่นๆ ที่สำคัญคือสังคมการเมือง-เศรษฐกิจ  ทฤษฎีสังคมการเมืองที่ว่าคือทฤษฎีของฝ่ายประชาชน  มีเนื้อหาก้าวหน้า  การซึกษาปรัชญาที่ก้าวหน้าช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่สับสนซับซ้อนของโลกและชีวิต  การศึกษาเศรษฐศาสตร์ของประชาชนช่วยให้เข้าใจระบบกลไกแห่งการขูดรีดที่คนส่วนน้อยกระทำต่อคนส่วนใหญ่  การศึกษาประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้นของประชาชน  ช่วยให้มองเห็นพลังประชาชน  มองเห็นทางออกที่สดใส  และการศึกษาทฤษฎีทางศิลปะวรรณคดีช่วยให้เรามองเห็นลู่ทางในการทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น
                การศึกษาทฤษฎีเป็นเพียงการรับรู้ขั้นต้น  ยังไม่เกิดความเข้าใจที่แท้จริง  แต่เมื่อได้นำไปใช้ในการทำงาน  การต่อสู้  นำไปประสานกับรูปธรรมที่พบเห็นในการ “กล้าบุกกล้าผจญ” นั่นแหละจึงจะค่อยเข้าใจขึ้นมา
                เช่น ปรัชญาวิภาษวิธีแห่งวัตถุนิยม  ซึ่งมีหัวใจอยู่ที่ว่า “หนึ่งต้องแยกเป็นสอง” ถ้านำไปใช้วิเคราะห์สภาพความเป็นจริงที่เราพบเพื่อแปรเป็นงานเขียน  ก็จะช่วยให้การกุมเนื้อหาของเรื่องสอดคล้องกับความเป็นจริง  มีชีวิตชีวา  ตัวละครก็มีลมหายใจ  มีสมอง  ความคิดและกิริยาท่าทางของตัวละครก็มีลักษณะเคลื่อนไหว  เปลี่ยนแปลงพัฒนาโดยตลอดตามสภาพเงื่อนไขภายนอก  และปัจจัยภายในของตัวละครนั้นๆ มีภาพสองด้านของตัวละครตัวหนึ่ง
                การทำงานเขียนสร้างสรรค์เป็นการเอาภาพความจริงมาดัดแปลง  ปรุงแต่งต่อเติมบนพื้นฐานของความเป็นจริง  และส่วนที่เราคิดต่อเติมนี้อาจมีแนวโน้มไปทาง “อภิปรัชญา” ได้ลักษณะด้านเดียว  โดดเดี่ยว  ผิวเผิน  และหยุดนิ่งโผล่หางออกมาให้เห็นได้ไม่ยาก  เช่นวางโครงเรื่องไว้ว่า  ตอนจบ  คุณแมนสรวงจะต้องเป็นคนดี(หลังจากตีหน้ายักษ์ตลอดเรื่องจนเมื่อยหน้า)  พอเขียนไปถึงตอนที่ ๕๐๐ คุณแมนสรวงก็พูดว่า “ผมรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว  การกดหัวคนอื่นเป็นเรื่องไม่ดี  จงทำดี  มีศีลธรรม  ถือความสัตย์”  แต่พอคนอ่านๆ จบแล้วไม่เชื่อว่าคุณแมนสรวงถูกเขียนบังคับให้พูดเช่นนั้น  ผลคืองานเขียนชิ้นนั้นขาดพลังปลุกเร้าใจให้คนอ่านเชื่อถือ  รู้สึกไม่สมจริง
                ผู้เขียนก็เสียท่าให้ “อภิปรัชญา” บ่อยๆ เช่นวางโครงเรื่องตามที่ตนต้องการอย่างเดียว  หรือปล่อยโครงเรื่องไปตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนคนอ่านจับอะไรไม่ได้  หรือยัดเยียดคำพูดก้าวหน้าอย่างยิ่งใส่ปากตัวละครที่ล้าหลัง  หรือเชิดชักบทบาทล้าหลังให้ตัวละครที่น่าจะก้าวหน้ากว่านั้น  เห็นปรากฏการณ์หดหู่มากๆ ก็เขียนแต่ด้านหดหู่จนกลายเป็นบั่นทอนกำลังใจคนอ่าน  หรือไม่ก็ “ปล่อยไก่” ให้ตัวละครที่ว่าเป็นชาวนาทำอะไรที่ชาวนาเขาไม่ทำกัน  เช่นให้แม่แสดงความเอ็นดูลูกสาวด้วยการจับปลายคางลูกสาว
                มีคำพูดเหลวไหลที่ว่า  นักศึกษาทฤษฎีทางสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจมาก  งานเขียนจะกระด้าง  เพราะความจริงมันตรงกันข้าม  นักเขียนที่คับแคบและลุ่มหลงตนเองบางคนยังอุตส่าห์แสดงความเห็นของเธอว่า “อเมริกาแกล้งแพ้ในสงครามอินโดจีน” ความเห็นเช่นนี้ถ้าแสดงออกในงานเขียน  จะทำให้งานเขียนอ่อนโยนหรือแข็งกระด้างเล่า?  ถ้าไม่เข้าใจทฤษฎีทางสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจ  หรือรู้งูๆ ปลาๆ นั่นแหละโอกาสที่จะ “แข็งกระด้าง” ยิ่งมีมาก
                จิตร ภูมิศักดิ์ ศึกษาภาษาศาสตร์อย่างลึกซึ้งจนถึงรู้ความเป็นมาของถ้อยคำภาษา  เขาจึงมีภาษาอันอุดมสมบูรณ์ที่จะมาเขียนหนังสือให้อ่านง่ายๆ กะทัดรัด  ได้อารมณ์เป็นนายของภาษา  แต่คนที่ศึกษาภาษาศาสตร์งูๆ ปลาๆ แล้วพยายามจะใช้ถ้อยคำศัพท์แสงโอ่ๆ อ่าๆ โดยไม่เหมาะกับความหมายของมัน  ก็ทำให้งานเขียนอ่านยาก  ที่พอจะเปรียบเทียบกับการศึกษาทฤษฎีทางสังคม-การเมือง-เศรษฐกิจได้
                ผมเชื่อมั่นว่า  การจะทำงานสร้างสรรค์วรรณกรรมให้ได้ดี  มีแต่ต้องศึกษาทฤษฎีที่ก้าวหน้าประสานกับการปฏิบัติที่เป็นจริง  มีทั้งเศรษฐศาสตร์ในหนังสือและเศรษฐศาสตร์ในท้องนา  ให้มันฝังลึกอยู่ในจิตสำนึก  มีใช่เป็นเพียงเนคไทประดับหน้าอก  หรือดาบอาญาสิทธิ์ของเอกชนเที่ยวฟาดฟันโดยไม่รับผิดชอบ  แต่เป็นดาบอันคมกริบในมือของประชาชน
                เมื่อมีเข็มทิศชี้นำการทำงาน  ก็ช่วยให้มองเห็นวิถีทางการสร้างสรรค์ชัดเจนว่าจะรับใช้ใครจะทำอย่างไร  การเลือกเนื้อหา  แง่มุมในการเขียนทำได้ตรงเป้าขึ้น  คนอ่านย่อมต้อนรับ  ในยุคสมัยหนึ่งๆ มันจะมีเรื่องราวบางอย่างอยู่ในหัวใจของมวลชน  การศึกษาทฤษฎีที่ก้าวหน้าทั้งทางสังคมและวรรณคดี  ช่วยให้เห็นประตูทางเข้าไปนั่งในหัวใจของมวลชน  สามารถสะท้อนเรื่องราวต่างๆ ออกมาอย่างชีวิตชีวา  และในงานเหล่านี้ก็จะมีงานบางชิ้น  เป็นตัวแทนอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันของคนในยุคสมัย  ทำหน้าที่เป็นเสมือนจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ถึงคนรุ่นหลัง

รูปแบบกับเนื้อหา

                งานเขียนชิ้นหนึ่งๆ มีส่วนประกอบสำคัญ ๒ ส่วน  คือเนื้อหากับรูปแบบ  เนื้อหาคือเรื่องราวการต่อสู้ของประชาชนในด้านและแง่มุมต่างๆ ที่ผู้เขียนมุ่งหมายสื่อสารถึงผู้อ่าน  รูปแบบเป็นกระบวนการที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาอย่างเต็มที่  ในการเขียนหมายถึงจะเขียนแบบใด(ร้อยแก้ว  ร้อยกรอง) จึงจะเหมาะสมกับเนื้อหา  ใช้ท่งทำนองการเขียนแบบใด(ถ้อยคำสำนวน  การลำดับความหรือการดำเนินเรื่อง  ลีลาการเสนอเรียบๆ หรือผาดโผนตามสภาพของเนื้อหา)
                งานเขียนชิ้นหนึ่ง เนื้อหาเป็นด้านหลักเพราะมันคือเป้าหมายของผู้เขียนเป็นเบื้องต้นที่จะกำหนดว่างานเขียนชิ้นนั้นจะใช้ได้หรือไม่  ส่วนรูปแบบเป็นด้านรอง  มันเป็นสะพานให้เนื้อหาข้ามไปถึงคนอ่าน  ดังนั้นนักเขียนของประชาชนจึงทุ่มเทพลังกายพลังใจในการค้นคว้าเนื้อหามากกว่า  แต่ก็ไม่ทอดทิ้งการค้นคว้ารูปแบบ   เพราะไก่งามเพราะ(มี)ขน(เป็นส่วนประกอบ)  ถ้าไก่ไม่มีขนกลายเป็นความทุเรศตา  ในกรณีที่งานเขียนชิ้นหนึ่งมีเนื้อหาที่รับใช้ประชาชนแล้ว  รูปแบบก็อาจขึ้นมาอยู่ในฐานะปัจจัยชี้ขาดได้เหมือนกันว่างานเขียนชิ้นนั้นจะรับใช้ประชาชนได้ดีหรือไม่  ผมเห็นด้วยที่มีคนกล่าวว่าถึงเนื้อหาจะดีหากรูปแบบเป็นอุปสรรคก็ไม่อาจเข้าถึงคนอ่าน  ในทางตรงกันข้าม  หากเนื้อหาไม่ดี  ถึงรูปแบบจะดีเพียงใด  ก็เหมือนไก้เน่าขนงาม  เพียงได้กลิ่นก็โยนลงถังขยะได้เลย
                ที่ว่าเนื้อหาดี  คือดีในความหมายของคนส่วนใหญ่คือกรรมกรชาวนา  ดีในความหมายของประชาชาติไทย  เป็นเนื้อหาคัดค้านการกดขี่  เชิดชูผู้ใช้แรงงาน  คัดค้านการรุกราน  สดุดีการต่อสู้เพื่อเอกราชประชาธิปไตย    แสดงบทบาทสัมพันธ์กับภารกิจด้านอื่นๆ ในสังคมอย่างสนิทแน่นแฟ้น  รูปแบบที่ดีคือรูปแบบที่สอดคล้องกับเนื้อหาข้างต้น  เหมาะสมกับคนอ่านกลุ่มนั้นๆ ที่เป็นเป้าหมายช่วยให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาเต็มที่
                ตัวผู้เขียนเองเป็นผู้ทำงานศิลปวัฒนธรรมที่มาจากปัญญาชน  สภาพความเป็นจริงของการศึกษา  การดำรงชีวิต  ค่อนข้างห่างเหินชีวิตที่เป็นจริงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ  ฉะนั้นจุดอ่อนที่แสดงออกในการทำงานเขียนจึงมีทั้งด้านเนื้อหาและรูปแบบ  ขาดความเข้าใจในชีวิตการต่อสู้ทางการผลิต-ทางสังคมของประชาชน  ขาดความเข้าใจในท่วงทำนองการเล่าเรื่องให้เข้าใจง่ายๆ แบบชาวบ้าน  ขาดความเข้าใจอันลึกซึ้งในภาษาที่มีชีวิตชีวาของกรรมกรชาวนา  การจะแก้จุดอ่อนนั้นเห็นจะได้โดยต้องมีเป้าหมายการทำงานที่ถูกต้อง  เข้าร่วมต่อสู้คลุกคลีทำความเข้าใจชีวิตที่เป็นจริงของคนส่วนใหญ่

เตรียมให้พร้อม   ประกันชัยชนะ

                ช่างก่อสร้างย่อมมองเห็นบ้านสำเร็จรูปทั้งหลังตั้งแต่เริ่มลงเสาบ้าน
                ก่อนลงมือเขียน  ผมเห็นว่าเราควรมีภาพสมบูรณ์ขั้นสุดท้ายอยู่ในสมอง  มีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่าจะแสดงเนื้อหาอะไร  มองเห็นฉาก  มองเห็นใบหน้าตัวละคร  และมองเห็นจังหวะก้าวคร่าวๆ ว่า ตัวละครแต่ละตัวจะแสดงบทบาทไปในแนวไหน  มีจุดหนักจุดเบาในการดำเนินเรื่องอย่างไร  และโครงเรื่องที่วางไว้ก่อนย่อมพลิกแพลงไปได้ตามสภาพที่เหมาะสมในกรณีที่ค้นพบประเด็นใหม่ที่เหมาะสมกว่า
                ถ้าการเตรียมข้อมูล  เตรียมเค้าโครงดี  เวลาที่ลงมือเขียนจริงๆ ก็ไม่น่าจะยืดเยื้อเกินไป  เช่นเดียวกับการคลอดลูกย่อมสั้นกว่าเวลาตั้งครรภ์
            เรื่องสั้นหรือบทกวีดีๆ บางชิ้นอาจใช้เวลาเขียนไม่มาก  ทว่าได้ผ่านการสะสมประสบการณ์และข้อมูลมาเป็นปี
                ปัญหาที่พบในการเขียนหนังสือ  ถ้าขาดการเตรียมพร้อม  งานชิ้นนั้นก็อาจล้มกลางคัน  หรือเขียนไปก็จืดชืดคลุมเครือจนอาจเกิดความผิดพลาดทางเนื้อหา  น่าเห็นใจว่าในสังคมที่นักเขียนต้องทำงานแข่งกับค่าครองชีพ  การต้องทำงานทั้งที่เตรียมไม่พร้อมนั้นเป็นไปได้ง่ายมาก  การแก้ปัญหาพรรค์นี้คงต้องพูดกันยาว

โลกทรรศน์ชี้ขาดผลงาน

                นักเขียนจะยืนหยัดในเป้าหมายการทำงานเพื่อมวลชนได้หรือไม่  หรือได้ดีหรือไม่  การใช้ชีวิตส่วนตัวเป็นปัญหาสำคัญทีเดียว  การใช้ชีวิตส่วนตัวย่อมสัมพันธ์กับการทำงาน  ส่งผลสะเทือนแก่กัน  ไม่อาจแยกขาดจากกันได้  พูดอีกแง่หนึ่ง  ชีวิตส่วนตัวของนักเขียนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน  เป้าหมายในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไร  งานเขียนก็สะท้อนออกมาอย่างนั้น
                การทำงานสร้างสรรค์รับใช้ประชาชน  จำเป็นที่นักเขียนต้องเข้าใจ  ความคิดความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชน  เข้าใจอารมณ์ความรู้สึก  มีสำนึกอันละเอียดอ่อนร่วมกับพวกเขา
            ดาราละครจะสวมบทบาทตัวละครได้ดีคือการทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองกว้างขวางไม่ผูกมัดด้วยเอกชน  รับบทอะไรก็ได้ที่รับใช้ประชาชน  นักเขียนจะทำงานได้ดีก็ต้องไม่ผูกมัดตัวเองด้วยความคิดเอกชน  ออกห่างจากความคิดคับแคบตื้นเขิน  จึงจะสามารถสะท้อนทุกมิติของภาพและดิ่งลึกลงไปในวิญญาณของผู้ใช้แรงงาน  จับธาตุแท้ของคนฐานะต่างๆ มาแปรเป็นตัวหนังสือ

คนอ่านน่ารัก  คนเขียนคึกคัก

                ในความเห็นของผม  ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับคนเขียน  มีสำคัญอยู่สองแบบ  คือแบบที่หนึ่งความสัมพันธ์แบบการค้า  วรรณกรรมกลายเป็นสินค้าราคาถูกที่สร้างความร่ำรวยให้แก่ไม่กี่คน  และคนอ่านก็ไม่ได้มีสติปัญญาเพิ่มเติมจากการอ่าน  เป็นเรื่องน่าขมขื่นใจทั้งคนเขียนคนอ่าน  แบบที่สองคือความสัมพันธ์ทางอุดมการณ์  เมื่อเรา(ไม่ว่าคนเขียนหรือคนอ่าน) มีจุดมุ่งหมายทางความคิดร่วมกัน   เราต่างใช้ความถนัด  ความสามารถที่เรามีไปช่วยกันผลักดันให้จุดมุ่งหมายนั้นเป็นจริงขึ้นมา  ความสัมพันธ์เช่นนี้มีได้ทุกที่ๆ มีการต่อสู้  คนอ่านกับคนเขียนเป็นเสมือนญาติสนิท  ได้เผชิญอุปสรรค  ฝ่าพายุคลื่นลมร่วมกัน  ความเอาใจใส่ถนอมรักกันย่อมเกิดขึ้น  ต่างเข้าไปนั่งในหัวใจของกันและกัน  ความอบอุ่นที่ได้รับมีค่ามากกว่าค่าลิขสิทธิ์ไม่กี่พันบาท  ค่าลิขสิทธิ์หมดแล้วอาจหาใหม่ได้ไม่ยาก  แต่หากเมื่อใดเราทรยศผู้อ่าน  ย่อมไม่มีความถนอมรัก  ไม่มีความอบอุ่นจากผู้อ่าน  มันคงเงียบเหงาและว้าเหว่มากไม่ใช่หรือ  สำหรับคนเขียนหนังสือ  แต่เรื่องเศร้าแบบนั้นไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ มวลชนผู้อ่านให้โอกาสและให้ความเป็นธรรมแก่คนเขียนหนังสือเสมอ  นักเขียนที่เคยเดินสะเปะสะปะอย่างผมจึงเดินตรงทางขึ้นบ้าง  โดยอาศัยผู้อ่านยื่นมือให้จูง  ให้คำแนะนำ  ให้คำวิจารณ์เพื่อปรับปรุงงานเขียน สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า  เราน้อมใจพอหรือไม่ที่จะรับการช่วยเหลือจากคนอ่าน

            ทั้งหมดนี้เป็นบันทึกจากการทำงานของนักเขียนคนหนึ่ง  เป็นความคิดเห็นส่วนตัว  เป็นบันทึกสำหรับเรียกร้องตนเอง  สำหรับนักเขียนคนอื่นๆ ที่มีเงื่อนไข-สภาพความเป็นจริงแตกต่างกัน  ก็อาจมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป  ไม่อาจเรียกร้องให้เหมือนกันหมด  อย่างไรก็ตาม ก็น่าจะมีจุดใหญ่ๆ ร่วมกัน  โดยเฉพาะในปัญหาเพื่อใคร